Wednesday 7 September 2011

ศูนย์ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน พระพุทธศาสนา นานาชาติ

ศูนย์ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน พระพุทธศาสนา นานาชาติ

Celeb Online - Manager Online - “สรวลสรร จำนรรจ์ชา” รื่นรมย์ในวิถีแห่งชา

Celeb Online - Manager Online - “สรวลสรร จำนรรจ์ชา” รื่นรมย์ในวิถีแห่งชา
“สรวลสรร จำนรรจ์ชา” รื่นรมย์ในวิถีแห่งชา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2554 17:47 น.
Share



อีกครั้งที่ ชุดชา ทั้งกาและถ้วย ผลงานของช่างปั้น ปานชลี สถิรศาสตร์ จะนำเราไปสู่ความรื่นรมย์ในวิถีแห่งชา

กาน้ำชาเข้าชุดกัน กว่า 30 ชุด อีกทั้งถ้วยชาหลากหลายหน้าตา กว่า 300 ใบ นับตั้งแต่ใบเล็กกระจ้อยร่อยไปจนถึงใบโตๆ ในนิทรรศการ TEA TALK - สรวลสรร จำนรรจ์ชา

ไม่เพียงแต่เจ้าของผลงานอยากจะเชื้อเชิญผู้หลงใหลและสงสัยในเสน่ห์ถ้วยชา ไปชมด้วยตา ยังอยากชวนให้ไปหยิบจับ ลูบๆคลำๆ ก่อนจะเลือกใบที่ถูกใจ ใส่ชาที่เธอเตรียมชงให้ดื่ม

ความงามในความเงียบ ตลอดจนความสุขสงบที่ชุดชาแต่ละชุดและถ้วยชาแต่ละใบ ส่งแรงดึงดูดถึงผู้ชม และการที่ผู้ชมได้ลองใช้มือสัมผัส จับต้อง อย่างทะนุถนอมและมีสติ เธอเชื่อว่าจะก่อให้เกิดความรื่นรมย์ในหัวใจ จนสามารถเขยิบเข้าใกล้ศิลปะแห่งการชงชาที่มีความเรียบง่าย ทว่าลุ่มลึก

ก่อนมาเป็นช่างปั้นถ้วยชา ปานชลีหลงใหลในการดื่มชาและศิลปะแห่งการชงชา มาก่อน เริ่มมาจากวัยเด็กได้ใช้เวลาดื่มชาเงียบๆกับสมาชิกในครอบครัว ความสุขที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่ต้องมีการพูดคุย ทดแทนคำพูดเป็นล้านๆคำ

จนเมื่อโตขึ้น ผ่านการดื่มชามามากชนิด กระทั่งได้สัมผัสกับพิธีชงชาของญี่ปุ่น อันเป็นความงามที่เชื่อมโยงกับทุกสิ่งในจักรวาล เธอก็ยิ่งหลงรัก

“ในขณะที่พระพยายามพูดถึงการมีสติ เรื่องของการทำสมาธิเพื่อที่จะลด ละ กิเลส พิธีชงชาก็เป็นแบบนั้น เรียบง่าย ไม่รุงรัง อยู่บนความงามที่เลือกสรรแล้ว เป็นความงามที่ไม่โฉ่งฉ่าง เคารพธรรมชาติ

คนที่จะทำพิธีชงชา ต้องถ่อมตัวถ่อมใจ สมัยก่อนจะมีการทำกระท่อมชาเล็กๆ ให้คนลอดเข้าไป แม้กระทั่งโชกุน ก็ยังต้องนั่งเสมอกับคนชงชา ไม่มีนาย ไม่มีบ่าว”

นิทรรศการครั้งนี้ แม้จะมีผลงานให้ชมมากชิ้นกว่าเดิม ปานชลี ผู้มีอีกหนึ่งบทบาทคือการเป็นสมาชิก “ชมรมหรี่เสียงกรุงเทพฯ” กล่าวว่า ยังคงเป็นการนำเสนอความงามที่ให้คุณค่ากับความเงียบ

“งานที่นำมาแสดงคราวนี้ เหมือนเป็นการรวมมิตรผลงาน บางชิ้นปั้นและเผาไว้เป็นเป็น 10 ปี แล้ว เพิ่งเอามาเคลือบ

เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของดิฉันคือ การทำงานที่ทำให้นึกถึงความสงบร่มเย็นของธรรมชาติ ผลงานที่ออกมาจึงให้ความรู้สึกเหมือนตะไคร่ที่มีสีหม่นๆ หมองๆ มืดๆ (หัวเราะ)แต่คราวนี้มีสีฟ้า สีคราม มาให้ชมด้วย ยังคงเป็นสีที่เชื่อมโยงกับเรื่องของธรรมชาติ

นอกจากอยากให้คนมาจับมาสัมผัสงาน สิ่งที่ดิฉันปรารถนาในทุกครั้งที่จัดนิทรรศการ คือการชวนคนมาคุยกันเบาๆ ในเรื่องต่างๆ

เพราะชามันเป็นเรื่องของสิ่งที่มันสุนทรีย์ การดื่มชามันเกี่ยวข้องกับความงามในความเงียบ เป็นช่วงเวลาที่คนได้คุยกันในเรื่องที่ผ่อนคลาย ไม่ใช่เรื่องที่จะนินทากาเล(หัวเราะ)”



ในช่วงเวลาของการจัดแสดงนิทรรศการ อีกหนึ่งกิจกรรม ที่ชวนคนมาคุยกันในเรื่องที่ผ่อนคลายคือ สรวลสรรเสวนา หนังสือแห่งชา (The Book of Tea) แต่งโดย คะคุโซ โอคะคุระ แต่ละบทนำเสนอเรื่องราวของ ถ้วยชาแห่งมนุษยชาติ,สกุลชา,ลัทธิเต๋าและนิกายเซน,ห้องชา,การซาบซึ้งในศิลปะ,ดอกไม้ และอาจารย์ชา

ปานชลีกล่าวถึง “หนังสือแห่งชา” ที่เพิ่งถูกนำมาแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดย ประวิตร โรจนพฤกษ์,กรินทร์ กลิ่นขจร ,พิมพ์โดย สำนักพิมพ์ openbooks และมีผลงานปั้นของเธอหลายชิ้นถูก นำมาทำเป็นภาพปกและภาพประกอบของหนังสือว่า

“เป็นหนังสือที่พูดถึงประวัติศาสตร์ของชา ความงามของถ้วยชา กระท่อมชา การจัดดอกไม้ ความงามของดอกไม้ ที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีชงชา ความซาบซึ้งในศิลปะ มีความเป็นสุนทรียศาสตร์ เป็นปรัชญา มีครบหมดทุกรส

ได้รับความชื่นชมจากคนทั่วโลก และเคยแปลไปแล้วหลายภาษา ถูกเขียนขึ้นมาเป็น 100 ปีแล้ว แต่ยังทันสมัย วิพากษ์วิจารณ์สังคมทุนนิยมแบบตะวันตกที่ผลิตอะไรเยอะๆหรือมีความงามที่โฉ่งฉ่าง และพูดถึงความอัปลักษณ์ของมลพิษทางเสียง

ศิลปะเกี่ยวกับชา มันคือความลุ่มลึก งอกงามมาจากความคิดที่ให้คุณค่ากับเรื่องสติ เป็นพูดถึงลัทธิเต๋าและนิกายเซน ซึ่งมันงอกงามมาจากศาสนาพุทธ เพราะว่าการดื่มชามันเริ่มต้นมาจากพระจีนเป็นคนดื่มเพื่อทำสมาธิ แล้วไปงอกงามที่ญี่ปุ่น จนเกิดเป็นพิธีชงชา

ส่วนหนึ่งของหนังสือจะพูดถึงประวัติศาสตร์ว่า ทำไมผู้นำของกองทัพ ผู้ปกครอง หรือซามูไร ถึงได้ให้คุณค่ากับพิธีชงชามาก เพราะว่ามันเป็นการทั้งฝึกสติ การให้คุณค่าของความงาม และความสงบในจิตใจ”

หนังสือเล่มนี้ จึงค่อนข้างจะมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่ปานชลีเชื่อและต้องการจะสื่อสารกับสังคมเสมอมา



นิทรรศการ TEA TALK - สรวลสรร จำนรรจ์ชา โดย ปานชลี สถิรศาสตร์ วันที่ 17 -25 กันยายน พ.ศ.2554 เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 โทร.0-2381-8360-1

สรวลสรรเสวนา หนังสือแห่งชา (The Book of Tea) โดย อู่ทอง โฆวินทะ,ดร.สุวรรณา สถาอานันท์, ดวงใจ หล่อธนะวณิชย์, ประวิทย์ โรจนพฤกษ์, กรินทร์ กลิ่นขจร ดำเนินรายการโดย ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ.2554 เวลา 16.00 -18.00 น. ณ บริเวณลานน้ำพุ สถาบันปรีดี พนมยงค์ สอบถาม โทร.089-146-4848









“เป็นเรื่องเศร้าอยู่มากว่าความกระตือรือร้นต่อศิลปะ ณ ปัจจุบันนี้ มากมายเหลือเกิน มิได้มีรากฐานอยู่ในความรู้สึกอย่างแท้จริง ในยุคประชาธิปไตยของเรานี้ ผู้คนแซ่ซ้องให้กับสิ่งที่ว่าดีที่สุดตามที่นิยมกันทั่วไป โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของตนเอง พวกเขาต้องการของราคาแพง มิใช่ของอันประณีต ของที่เป็นสมัยนิยม หาใช่ของอันสวยงาม”

บางตอนจากบท “การซาบซึ้งศิลปะ”

Monday 29 August 2011

ทำอย่างไรให้คนเสพติดลักชัวรี่ - Positioning Magazine

ทำอย่างไรให้คนเสพติดลักชัวรี่ - Positioning Magazine
ทำอย่างไรให้คนเสพติดลักชัวรี่
อรรถสิทธิ์ เหมือนมาตย์ Positioning Magazine 10 สิงหาคม 2554 Print

0 Comments • Share on Facebook • Email this • View CC license • Subscribe to this feed
Added on: 10/8/2554
ทำอย่างไรให้คนเสพติดลักชัวรี่

ตลาดลักชัวรี่เป็นตลาดที่ขายดิบขายดีทั่วโลก ทั้งภูมิภาคที่พัฒนาแล้วและภูมิภาคที่กำลังพัฒนา โดยปี 2553 ที่ผ่านมาบริษัทสำรวจวิจัย Bain & Company รายงานว่ามูลค่าสูงถึง 254 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากอดีตที่เป็นสินค้าสำหรับผู้สูงศักดิ์ ในกลุ่มคนผู้มั่งคั่ง ร่ำรวยเท่านั้น แต่ปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นใหม่มีความทะยานอยากมากขึ้น พร้อมๆ กับทรัพย์สินที่ทำมาหาได้มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดลักชัวรี่ โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นหรูส่องประกายรุ่งโรจน์ทั่วโลก

เกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ศูนย์การค้าสยามพารากอน กูรูผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดในวงการค้าปลีกลักชัวรี่ในไทยมานาน บอกเล่าถึงความสำคัญของตลาดลักชัวรี่ และข้อคิดในการเข้าถึงลูกค้าผู้คลั่งไคล้ความหรูหรา

ส่องตลาดลักชัวรี่

ความหรูหรามีราคา และผลักดันให้ลูกค้ามีแรงปรารถนาที่จะเสพอย่างไม่สิ้นสุด

“เดิมคนใช้น้อย เข้าถึงยาก ซื้อยาก แต่ปัจจุบันสินค้าหรูจริงๆ ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ เป็นปรากฏการณ์โลก ต้องขายความเป็นแฟนตาซี ถึงคนมีเงินน้อยลง แต่เขายิ่งซื้อของมีค่ามากขึ้น เพราะอยากได้ของดีมีคุณภาพคุ้มค่าเงินที่มี แต่ลักชัวรี่ของคนคนหนึ่งอาจไม่ใช่ของอีกคนหนึ่ง คนที่มีกระเป๋าเบอร์กิ้นใบแรกกับใบที่ 10 ก็จะแตกต่างกัน ลักชัวรี่ไม่ได้กำหนดด้วยราคาอย่างเดียว แต่หมายถึงเป็นของหายากและพิเศษ เป็นการเสพเพื่อตัวเองและคนอื่นหลายคนถือว่าเป็นจิตวิญญาณ ไม่ได้เลือกซื้อด้วยเหตุด้วยผล”

“ลักชัวรี่ตัดสินกันด้วยอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ เป็นเรื่องสปอยล์ เป็นความสุขทางใจที่ไม่สามารถทดแทนด้วยอย่างอื่นได้ เป็นการหล่อหลอมความรู้สึก จิตวิญญาณ ความภาคภูมิใจ ยากที่จะลบล้าง เป็นยิ่งกว่า Loyalty”

ความโดดเด่นประการหนึ่งของลักชัวรี่แบรนด์ ที่เป็นจุดขายสำคัญคือ “ตำนาน”

“ลักชัวรี่ต้องมีราก มี Heritage เล่าเรื่องให้ยุ่งยากและยุ่งเหยิงเข้าไว้”

ดังนั้นแบรนด์ระดับตำนานจึงมีข้อได้เปรียบที่จะหยิบยกเรื่องราวที่มีอยู่มากมายมาเล่าได้ในหลายแง่มุม สามารถบอกต่อจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่รู้จบ เช่น LOUIS VUITTON อายุกว่า 157 ปี GUCCI อายุกว่า 90 ปี เช่นเดียวกับ CHANEL อายุ 101 ปี เป็นต้น

“ลูกค้าต้องการมี Status Stories โดย Louis Vuitton เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ กับแคมเปญ Journeys”

เกรียงศักดิ์บอกว่า สินค้าลักชัวรี่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนน้อย ยิ่งเพียว ลักชัวรี่ (Pure Luxury) อย่าง CHANEL, LOUIS VUITTON และ HERMES ไม่เคยลดราคาไม่เคยทำโปรโมชั่น ปี 2553 CHANEL ขึ้นราคา 20% แต่ยอดขายในไทยโต 40%

“แบรนด์พวกนี้ไม่เคยเซลล์ ยิ่งแพง ยิ่งยาก ยิ่งภูมิใจ ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งคนรุ่นใหม่เป็นพวกสุขนิยม ชอบให้ของขวัญกับตัวเองคนที่ติดแล้วเลิกยาก เจอของดีแล้วก็ไม่อยากเปลี่ยน”

ลักชัวรี่แบรนด์ จึงแข่งขันกันเปิด Flagship Store อย่างเอิกเกริกโดยเฉพาะในตลาดดาวรุ่งอย่างจีนและรัสเซีย

“ตอนนี้ Channel Distribution ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เน้นเปิดสาขาใหญ่ขึ้น ขยายไลน์สินค้ามากขึ้นในรูปแบบของ Global Concept”

มนตราแห่งความฝัน

โฆษณาที่สวยงาม หรูหราอยู่เป็นนิจ ตลอดจนดิสเพลย์และเมอร์ชั่นไดซิ่งต่างๆ ภายในช็อปเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สินค้าลักชัวรี่กลายเป็นความฝันอันพึงปรารถนาและน่าไขว่คว้า โดยมีเบื้องหลังคือกลไกในการขับเคลื่อนความฝัน

“พัฒนาลูกค้าระดับกลางให้ติดลมบน เพราะถ้าเขาติดลมบนแล้วจะไม่เลิกเสพลักชัวรี่ ถึงตอนนี้รายได้ยังน้อย แต่รสนิยมสูงไม่เป็นไร ส่วนลูกค้าระดับล่างให้เขาสนุกสนานกับไลฟ์สไตล์หรูหรา เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้เขา เพราะหัวใจสำคัญคือต้องทำให้ลูกค้ามองขึ้นข้างบนตลอด เพราะถ้าแพงขึ้น หมายถึงคนใช้น้อยลง”

“ต้องให้ลูกค้าฝัน อย่าให้เขาตื่น เพราะถ้าเขาตื่นก็จบ ต้องผลักดันเขาขึ้นไปเรื่อยๆ”

โอกาสของสินค้าลักชัวรี่จึงไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ไม่หยุดความฝัน หรือปลุกให้ผู้บริโภคตื่นจากความฝันอันน่าพิสมัย

เกรียงศักดิ์แจกแจกลูกค้ากลุ่มนี้ว่า “กลุ่มลูกค้าไฮเอนด์จะมีไลฟ์สไตล์เทรนดี้ รู้จักใช้ชีวิต รู้จักใช้ของที่มีคุณภาพสูง ใส่ใจในความเป็นตัวของตัวเอง ยึดมั่นใน Singularity ใช้สินค้าลักชัวรี่แล้วสะใจ อะไรที่เป็นเป็นเทรนด์จะมาจากกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนในทุกเซ็กเมนต์”

“คนรุ่นใหม่ฉลาด มีความคิดของตัวเอง ไม่ตามกัน มีคาแร็กเตอร์ของตัวเอง มองหาสินค้าที่ Value to lifestyle มากกว่า Value for money สินค้าเองก็ฉลาดขึ้น มีนวัตกรรม เช่น นาฬิกาทำจากวัสดุที่ทันสมัยขึ้นขณะเดียวกันก็ดูแลง่ายขึ้น”

เขาบอกเล่าเพิ่มเติมว่า แม้แต่นักศึกษายังมีความฝัน จากอดีตกระเป๋าถือใบแรกต้องเป็น LOUIS VUITTON แต่ปัจจุบันนิยม CHANEL ซึ่งมีราคาแพงขึ้น

“เราจะเจอลูกค้าที่เรื่องมากได้อีก มากไม่มีที่สุด ซึ่งไม่ผิด เพราะเราสปอยล์เขาเอง เขาจะเดินบนพรมแดงที่ปูด้วยชีวิตและจิตใจ”

ตลาดลักชัวรี่ไทย ไม่เปรี้ยงแต่ยังรุ่ง

เนื่องจากในไทยยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถที่จะบริการลูกค้าลักชัวรี่ ที่มีความรู้และความต้องการสูง เพราะไทยยังไม่มีการพัฒนาบุคลากรด้านนี้อย่างเป็นระบบ สถาบันปัญญาภิวัฒน์จึงชิมลางก่อนเปิดหลักสูตรพัฒนาบุคลากรเพื่อ Premium Retail ด้วยการเสวนาเรื่อง “Branding The Premium Retail Business in Thailand : Challenges & Opportunities”

“ลูกค้ายุคใหม่รู้เยอะกว่าพนักงานขาย ซึ่งไม่ถูกต้อง พนักงานจำเป็นจะต้องรู้ให้ลึกซึ้งและเข้าใจจิตวิทยาลูกค้า ต้องไปไกลกว่าลูกค้า 1 ก้าวเสมอ ที่สำคัญต้องมีทักษะทางภาษาต่างประเทศ มีการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาระดับมาตรฐานของการทำงานให้เสมอต้นเสมอปลาย เพราะพนักงานเป็นด่านหน้าที่เป็นปัจจัยสำคัญว่าจะขายได้หรือไล่ลูกค้า”

ขณะที่การพัฒนาบุคลากรในด้านนี้มีการเรียนการสอน Luxury & Fashion Management มาเนิ่นนานแล้วในยุโรป อเมริกา และอีกหลายประเทศในเอเชีย

การตื่นตัวในเรื่องการสรรหาบุคลากรเพื่อค้าปลีกหรูในไทย นับว่าเป็นไปอย่างมีนัยสำคัญ เพราะลักชัวรี่แบรนด์จะพาเหรดเปิดตัวที่โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ในปี 2556 ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุดคือ GUCCI ได้เปลี่ยนโอนผู้ถือลิขสิทธิ์ในไทยจากอิตัลสยามของเภาลีนา ณ นคร มาสู่ชายคาเซ็นทรัล กรุ๊ป เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงแบรนด์เครื่องหนังดังอย่าง BOTTEGA VENETA ด้วย

ตลาดลักชัวรี่เมืองไทยจึงอยู่ในช่วงเวลาที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง แม้จะยังไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนจีน รัสเซีย บราซิลและอินเดีย ที่กำลังเนื้อหอมสุดๆ ในเวลานี้

พระเจ้าของตลาดลักชัวรี่

แบ่งกลุ่มเป้าหมายของตลาดลักชัวรี่ออกเป็น 4 กลุ่ม ตามกำลังทรัพย์ หรือพลังในการจับจ่ายที่แตกต่างกัน ดังนี้
Old Rich รวยมาแต่บรรพบุรุษ ผ่านลักชั่วรี่มาทุกรูปแบบเพราะอายุมากแล้ว พยายามฉีกออกไป ไม่ต้องการใช้ซ้ำกับคนอื่น หันไปหางาน Tailor Made บ้างหันไปหา Haute Couture เพื่อความพิเศษและแตกต่าง มีรถมาหลายคัน แม้กระทั่งซูเปอร์คาร์ จนคล้ายถึงจุดอิ่มตัว เพราะตัวตนเขาเองกลายเป็น Iconic จึงเป็นช่วงเวลาที่ให้กับลูกหลานมากขึ้น แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีการแพทย์ก้าวไกลคนกลุ่มนี้ก็จะมีอายุขัยมากขึ้น จับจ่ายต่อไปได้นานขึ้น

Nuveau Rich คนรวยรุ่นใหม่ รวยใน Generation ของตัวเอง เป็นเจ้าของธุรกิจเติบโตมาจากธุรกิจส่งออก-นำเข้า การเงินและอสังหาริมทรัพย์ มีพฤติกรรมช้อปถี่ มีสังคม เพื่อนฝูงเยอะ ปาร์ตี้บ่อย ตามติดเทคโนโลยีและอัพเดตข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ยอมตายขอให้มีแบรนด์

HENRYs (High Earners, Not Rich Yet) เป็นนิยามที่ Shawn Tully นักเขียนนิตยสารฟอร์จูนได้บัญญัติไว้ มีความรู้เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร มีรายได้ดีกว่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไป มีรสนิยมดี ทั้งยังมีความรู้และความปลาบปลื้มกับแบรนด์เนมหรูอยู่แล้ว และเมื่อกำลังทรัพย์พร้อม ก็พร้อมที่จะทะยานเข้าสู่ลักชัวรี่ แบรนด์ที่หรูหราขึ้นเรื่อยๆ เป็นกลุ่มคนที่ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อหวังผลระยะยาว


ลักชัวรี่ทำตลาดกันอย่างไร
สร้างStatus Stories โดย Louis Vuitton เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ กับแคมเปญ Journeys ที่นำเสนอไอเดียว่าชีวิตคือการเดินทาง แทนที่จะขายกระเป๋าเดินทางแบบโต้งๆ

ใช้สินทรัพย์ที่มีค่าอย่าง Iconic Logo ต่อยอดในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์

สร้าง Signature Product เช่น Neverfull Bag ของ LOUIS VUITTON และ Birgin ของ HERMES เป็นต้น

แตกไลน์ ขยายมาสู่คนรุ่นใหม่มากขึ้น ที่เรียกว่า Second Line หรือ Bridge Line Brand ที่บางครั้งถูกเรียกขานว่า Affordable Luxury เช่น MARC JACOB มี MARC BY MARC JACOB เป็นต้น

“ออกกระเป๋าผ้าใบละไม่กี่พันบาท คนเดิมได้ใช้มากขึ้น คนใหม่ก็ได้เริ่มใช้”

มี Brand Ambassadorชื่อดังระดับโลกเพื่อแสดงความเป็นแบรนด์ระดับท็อป เช่น COACHใช้ กวินเนท พัลโธร์ว และ OMEGA ใช้ ซินดี้ ครอฟอร์ด เป็นต้น

ออก Limited Edition โดยเฉพาะนาฬิกาเรือนหรู ระดับ TOP 5-10 มีรุ่นพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัด ราคาไม่ตก และนับวันจะยิ่งมีมูลค่ามากขึ้น จัดเป็นของสะสมสำหรับแฟนพันธุ์แท้

“ถ้าตลาดไหนเติบโตดี บริษัทแม่เขาจะส่งคอลเลกชั่นพิเศษมาให้ อย่างคลัทช์รุ่นพิเศษที่ LOUIS VUITTON ร่วมกับมาดอนน่า วางขายที่ดิ เอ็มโพเรียม แค่พริบตาเดียวก็หมด”

สื่อโฆษณาต้องมีสไตล์ไม่เหมือนใคร เช่น แคมเปญ Lady Dior ที่ใช้นางเอกระดับออสการ์อย่าง Marrion Cotillard ไปถ่ายบนหอไอเฟล และเผยเบื้องหลังการถ่ายทำผ่านเว็บไซต์

“การโฆษณาไม่ไดสื่อไปยังลูกค้าเก่าเท่านั้น แต่ทำให้ลูกค้าใหม่อิจฉาและรับรู้แบรนด์”

ทำในสิ่งที่สร้างความประหลาดใจอยู่ตลอดเวลา เช่น ล่าสุด Luis Vuitton ไปเปิด Pop-Up Store ที่งานเทศกาลโฆษณาโลกที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส


Top Luxury Retail Destination
เมืองที่ลักชัวรี่แบรนด์ต้องการไปเปิดมากที่สุด คือ
นิวยอร์ก 44.3%
ปารีส 43.6%
ฮ่องกง 40.6%

นอกจากนี้ยังมีสิงคโปร์ โตเกียว เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง โดย LVMH (LOUIS VUITTON MOET HENNESSY) เป็นบริษัทลักชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแบรนด์จำนวนมากที่สุดกว่า 50 แบรนด์

จากการสำรวจของ CBRE พบว่าในปี 2011 ฮ่องกงเป็นตลาดชั้นนำของโลกที่ดึงดูดลักชัวรี่แบรนด์ได้มากถึง 84% ของจำนวนลักชัวรี่แบรนด์ทั้งหมดทั่วโลก และในปี 2020 คาดการณ์ว่าจีนจะเป็นตลาดใหญ่ของลักชัวรี่แบรนด์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 40% ของโลก จากปัจจุบันที่มีอยู่ที่ 15%

Friday 26 August 2011

พิธีการด้านศุกากร นำเข้า-ส่งออก

พิธีการด้านศุกากร นำเข้า-ส่งออก

Extreme Custom Clearance ECC รับบริการออกของ และเคลียร์ของที่มีปั

Extreme Custom Clearance ECC รับบริการออกของ และเคลียร์ของที่มีปั

เกี่ยวกับศุลกากร

เกี่ยวกับศุลกากร

aas.co.th

aas.co.th

usvisa4thai.com - View topic - การขนของส่งกลับไทย ในกรณ๊ย้ายกลับไปอยู่ไทยค่ะ

usvisa4thai.com - View topic - การขนของส่งกลับไทย ในกรณ๊ย้ายกลับไปอยู่ไทยค่ะ

พิธีการศุลกากร >> พิธีการนำเข้าของใช้ในบ้านเรือน :: กรมศุลกากร

พิธีการศุลกากร >> พิธีการนำเข้าของใช้ในบ้านเรือน :: กรมศุลกากร

usvisa4thai.com - View topic - การขนของส่งกลับไทย ในกรณ๊ย้ายกลับไปอยู่ไทยค่ะ

usvisa4thai.com - View topic - การขนของส่งกลับไทย ในกรณ๊ย้ายกลับไปอยู่ไทยค่ะ

ส่งของกลับไทย - Ladyinter Club

ส่งของกลับไทย - Ladyinter Club

Welcome to TSAClub.com

Welcome to TSAClub.com

PANTIP.COM : H10099841 ย้ายของกลับบ้าน ส่งมาทางเรือจะเสียภาษีมากน้อยแค่ไหน []

PANTIP.COM : H10099841 ย้ายของกลับบ้าน ส่งมาทางเรือจะเสียภาษีมากน้อยแค่ไหน []

มีใครเคยส่งของทางเรือจากอังกฤษไปไทยบ้าง - Ladyinter Club

มีใครเคยส่งของทางเรือจากอังกฤษไปไทยบ้าง - Ladyinter Club

Shipping to England--ส่งของทางเรือ - Ladyinter Club

Shipping to England--ส่งของทางเรือ - Ladyinter Club

UK Air Shipment > ขนส่งสินค้าจากอังกฤษกลับไทยทางเครื่องบิน [Engine by iGetWeb.com]

UK Air Shipment > ขนส่งสินค้าจากอังกฤษกลับไทยทางเครื่องบิน [Engine by iGetWeb.com]

ขนส่งสินค้าจากอังกฤษกลับไทยทางเครื่องบิน



สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าจากประเทศอังกฤษ แล้วต้องการส่งกลับประเทศไทยทางเครื่องบิน

ตัดรอบทุกวันที่ 15/30 ของทุกเดือน จะได้รับสินค้าภายใน 10 วัน หลังปิดรอบแจ้งให้ผู้ขายส่งสินค้าของท่านไปตามที่อยู่นี้

MR.MIKE/BBS/USM/..ชื่อผู้รับสินค้า..

UNIT 2,THE GRIFFIN CENTER,

STAIN RD.FELTSHAM,

MIDDLESEX,TW14 0HS,UK

PHONE:+44(0)8831 9326

กรุณาแจ้งให้เราทราบทุกครั้งหลังส่งสินค้าเข้าคลัง เพื่อประโยชน์ของท่านเอง

Saturday 20 August 2011

Weekly - Manager Online - วิธีคิด และทำแบบ Nothing Impossible ของ ศิริญา เทพเจริญ

Weekly - Manager Online - วิธีคิด และทำแบบ Nothing Impossible ของ ศิริญา เทพเจริญ
วิธีคิด และทำแบบ Nothing Impossible ของ ศิริญา เทพเจริญ
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 19 สิงหาคม 2554 12:38 น.
Share11

ศิริญา เทพเจริญ
*โมเดลการรุกตลาดแบบติดสปีดผู้บริหารสาว

*การบริหารแบบไม่ต้องคิดมาก แต่ประสบความสำเร็จสูง

*หัวใจของการขยับแบบก้าวกระโดดจาก 50 ล้านเป็นพันล้านใน 5 ปี

*แผนดำเนินการเพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ให้ถึงฝั่งฝัน

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา

จะธรรมดาได้อย่างไร ในเมื่ออายุเพิ่งแตะหลักสี่มาหมาดๆ ก็เป็นรองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท อั่งเปา แอสเสท จำกัด (มหาชน) ที่มีสินทรัพย์นับหมื่นล้านบาท ทั้งที่ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก และชีวิตในช่วงต้นก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

จะธรรมดาได้อย่างไร เมื่อเธอเข้าไปซื้อโรงพยาบาลด้านสุขภาพที่ประเทศเยอรมัน และยังเป็นผู้บริหารแบงค็อก เมดิเพล็กซ์ ศูนย์รวมเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล แห่งแรกของไทย ทั้งที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านแพทย์เลยสักนิด

และอื่นๆอีกหลายโครงการที่ผ่านมา และกำลังจะตามมา

เพราะ “เธอ” เชื่อว่าในโลกธุรกิจไม่มีอะไรที่เธอจะทำไม่ได้ เพียงแต่จะทำหรือไม่เท่านั้น

ศิริญา เทพเจริญ หรือ คุณหมวย ที่นอกจากจะดูแลสายงานการตลาดให้กับบริษัทข้างต้นแล้ว ยังเป็นรองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทณุศาศิริ และเป็นผู้บริหารแบงคอก เมดิเพล็กซ์ ศูนย์สุขภาพ วิลลา เมดิคา 2 ใน 4 แบรนด์หลักของอั่งเปา ส่วนที่เหลืออีก 2 แบรนด์คือ อัพเอกมัย คอนโดมีเนียม และเอ็กซ์โซ คอนโดฯ เล่าให้ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ฟัง ถึงวิธีคิด และทำงานของเธอนั้น จริงแล้วไม่แตกต่างจากเจ้าของกิจการรายอื่น เพียงแต่ใครจะคิดเร็วหรือช้ากว่ากันเท่านั้น

“จริงแล้วก่อนที่จะซื้อที่จะมีโครงการอยู่ในหัวแล้ว ว่าเรามองเห็นอะไร จะทำอะไรถึงค่อยซื้อ จริงแล้วมันมีพื้นฐานอยู่ว่า ปัจจุบันคู่แข่งเป็นอย่างไร แต่ละจุดขายได้มากน้อยแค่ไหน เราจะสามารถเข้าไปแชร์ตลาดจากเขาได้อย่างไร หากเสี่ยงที่จะไปแชร์ตลาดเราสามารถเปลี่ยนโปรดักส์ได้หรือไม่ ทุกอย่างมันมีทางออกอยู่แล้ว อย่าไปคิดเยอะ สมมติว่าเราจะขายของสักชิ้น รู้ว่ามีลูกค้ากลุ่มนี้แน่นอน จากนั้นก็ดูว่าในตลาดเรามีข้อดีหรือข้อเสียอะไร และเราทำอะไรได้ดีกว่าในจุดที่ลูกค้าต้องตัดสินใจมาเลือกเรา อย่างหมวยประชุมกับการตลาดจะให้โจทย์ว่าอย่าไปคิดอย่างอื่น อย่าคิดว่าต้องลงโฆษณาเยอะ แต่ให้คิดก่อนว่าทำไมเขาถึงซื้อคุณ จากนั้นถึงค่อยไปคิด ค่อยทำเรื่องอื่น”

ด้วยความที่คิดเร็ว ทำเร็ว เช่นนี้ทำให้ช่วงต้นๆ ของการเข้าสู่วงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เธอใช้เวลาเพียง 4-5 ปี ก็สามารถขยายธุรกิจจาก 50 ล้านบาท ขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท

อาจเพราะ “หัวใจ” ของการทำธุรกิจอสังหาฯ ก็คือ “เวลา” ตั้งแต่กระบวนกการซื้อของถูก จนถึงปิดโครงการ ต้องบริหาร Cost of Fund ให้คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่มีอยู่ เป็นสไตล์เดียวกับณุศาศิริที่เน้น “ความเร็ว แข่งกับเวลา”

สำหรับวิสัยทัศน์ของอั่งเปา ที่เพิ่งแปลงร่างสร้างบริษัทมาได้ปีกว่าๆ ก็คือ “เป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ ที่จะสร้างที่อยู่อาศัย และให้บริการกับสุขภาพชีวิตของคนในสังคม” เป็นทิศทางการดำเนินงานที่แตกออกเป็น 2 ด้านใหญ่ ด้านแรก อสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ถนัด และสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างเป็นกอบเป็นกำ ด้านที่สอง สุขภาพ เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างดี เนื่องจากผู้คนเริ่มใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น

ผู้บริหารคนสวยของอั่งเปา ตั้งใจไว้ว่าจะผลักดันให้บริษัทอั่งเปา มีสินทรัพย์ขยับขึ้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับท็อป 5 ให้ได้ภายใน 3 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 30 ต้นๆ

แม้เป็นเรื่องยากเกินจินตนาการ แต่การไปถึงเป้าหมายอาจเป็นไปได้ หากมีกลยุทธ์การจัดการที่ดี

ประการแรก มีประสบการณ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าสิบปีทั้งภายใต้แบรนด์ณุศาศิริ ที่เจาะตลาดในระดับพรีเมียมวางราคาไว้ที่ 10 ล้านบาทขึ้นไป กับแบรนด์กฤษณา ที่เจาะกลุ่มตลาดกลางไปจนถึงระดับบนราคาตั้งแต่ 7-9 ล้านบาท ทำให้มีความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภค และทิศทางของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถต่อสู้กับสภาวะการแข่งขันอันยากลำบาก ดังจะเห็นได้จากความสามารถในการเติบโตเหนือผู้ประกอบการรายอื่นในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540

ประการที่สอง การเข้าไปซื้อบริษัท ไทยเกรียงกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2551 ซึ่งเดิมบริษัทนี้ทำธุรกิจสิ่งทอ และอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ เพื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทางอ้อม พร้อมเปลี่ยนชื่อจากณุศาศิริ เป็น อั่งเปา

การดำเนินการนี้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงินจะได้ระดมทุนได้มีทางเลือกมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาเงินทุนส่วนตัวและสถาบันการเงินแต่เพียงอย่างเดียว และที่สำคัญทำให้การบริหารงานเปลี่ยนจากการบริหารแบบครอบครัวมาเป็นแบบมืออาชีพมากขึ้น

“การเข้ามาอยู่ในตลาดฯ นอกจากเรื่องการระดมทุนแล้ว ยังเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น จากนี้ไปจะมีทั้งการร่วมทุน ควบรวมกิจการ หรืออื่นๆ ทุกอย่างวางไว้ในแผนหมดแล้ว เพียงแต่รอการอนุมัติเท่านั้น”

ที่ผ่านมามีข่าวคราวออกมาว่าอั่งเปาอยู่ระหว่างการเจรจาในลักษณะของการร่วมทุนกับพันธมิตรธุรกิจก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศ 2-3 ราย เพื่อมาเสริมจุดแข็งในด้านงานก่อสร้างของบริษัท ซึ่งเป็นโมเดลในลักษณะเดียวกับที่พฤกษาฯ ทำอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ หากอั่งเปาสามารถไต่ระดับขึ้นเป็นท็อป 5 ได้ ก็จะยิ่งทำให้บริษัทต่างชาติให้ความสนใจบริษัทนี้เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญเมื่อใหญ่โต และเข้มแข็งถึงขนาดแล้ว เป้าหมายต่อไปจึงไม่ได้อยู่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น

มามองการดำเนินงานเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นอีกด้านของวิสัยทัศน์บ้าง

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เธอได้ใช้เงินกว่า 1,000 ล้านบาท เปิดโครงการแบงค็อก เมดิเพล็กซ์ เป็นโครงการเปิดพื้นที่ให้เช่าคลินิกแก่แพทย์เฉพาะทางจากหลายสาขาเข้ามาเปิดศูนย์การแพทย์เพื่อทำการรักษาผู้ป่วยโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันในศูนย์แห่งนี้จะมีวิลล่า เมดิก้า ซึ่งเป็นการลงทุนของเธอเอง เป็นบริการรักษาโดยวิธีเซลล์บำบัด ด้วยวิทยาการแพทย์จากเยอรมนี โดยเป็นศูนย์ประจำแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียที่ให้การรักษาในมาตรฐานเดียวกับบริษัทแม่ที่เยอรมัน นอกจากนี้ยังลงทุนสร้างโรงแรมและโรงพยาบาลมูลค่า 300-400 ล้านบาทที่ภูเก็ตอีกด้วย

“ตอนนี้ไม่ได้มองแค่ประเทศไทยอย่างเดียว คือหมวยไปซื้อโรงพยาบาลสุขภาพที่เยอรมัน เพราะไม่เคยคิดว่าบริษัทของเราจะอยู่ที่ประเทศไทย หมวยเพิ่งพูดเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมากับพนักงานว่าเราต้องมองตลาดอาเซียน”

แม้การแข่งขันกับตลาดอาเซียนจะเป็นงานใหญ่ และไม่ใช่งานง่าย แต่เธอเชื่อว่าไม่มีความยากลำบากในตรงนั้น และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

“แต่ก่อนไม่มีสักเรื่องเรายังก้าวเดินมาได้ แต่วันนี้เราทั้งอยู่ในตลาดฯ ซึ่งมีทั้งระบบ มีเป้าหมาย ความโปร่งใส ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตอนนี้เรามีทุกอย่างทำไมเราจะไปถึงจุดนั้นไม่ได้ ทุกวันนี้ยังบอกพนักงานให้เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เวลาทำอะไรต้องตั้งใจ คิดว่าเราอยากได้อะไร ตั้งเป้าหมายไว้ก่อน คิดอย่างเดียวว่าต้องสำเร็จ แล้วเราจะใช้กำลังทั้งหมด หาทุกวิธีเพื่อทำให้ไปถึงเป้าหมายเอง” นักธุรกิจสาว ที่บอกว่าที่ผ่านมายังไม่เคยพบกับความล้มเหลวในการทำงานเลย หากตนเองตั้งใจ อธิบายให้ฟัง

แต่ถ้าถามเคล็ดลับการลงทุนในธุรกิจเพื่อให้ประสบความสำเร็จแล้ว เธอบอกว่ามีอยู่ 3 เรื่องคือ ความต้องการของผู้บริโภค ตลาด และจังหวะ

นี่คือวิธีคิดและทำของผู้หญิงที่ชื่อ ศิริญา เทพเจริญ

Monday 8 August 2011

Travel - Manager Online - คนเผาพระ ภูมิปัญญาอันน่าทึ่ง แห่งเมืองกำแพงเพชร

Travel - Manager Online - คนเผาพระ ภูมิปัญญาอันน่าทึ่ง แห่งเมืองกำแพงเพชร

"คนเผาพระ" ภูมิปัญญาอันน่าทึ่ง แห่งเมืองกำแพงเพชร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 สิงหาคม 2554 15:50 น.
Share18

ลักษณะของพระซุ้มกอ
“นครชุม” เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณปากคลองสวนหมาก บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิงตรงข้ามกับเมืองกำแพงเพชร เกิดขึ้นในยุคกรุงสุโขทัย ช่วงรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง ทำหน้าที่เมืองหน้าด่านทางทิศตะวันตกของสุโขทัย

และในช่วงนั้น ถือได้ว่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนา ศิลปะ และสถาปัตยกรรมต่างๆ โดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุ และทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่เมืองนครชุม อันเป็นตำนานของประเพณีนบพระเล่นเพลง ที่สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ในภายหลัง เมื่อมีผู้รื้อพระศรีรัตนมหาธาตุเจดีย์ ก็ได้พบจารึกบนแผ่นลานเงินในกรุ ซึ่งจารึกถึงตำนานการสร้าง “พระพิมพ์” หรือที่ในปัจจุบันเรียกว่า “พระเครื่อง” นอกจากนี้ในพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง เรื่องการเสด็จประพาสกำแพงเพชร ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเขียนในปี พ.ศ. 2449 ก็ได้กล่าวถึงจารึกบนแผ่นลานทอง อันมีข้อความเกี่ยวกับการขุดพบพระต่างๆ ตามกรุต่างๆ เช่นกัน

แหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุม
นับว่าการสร้างพระพิมพ์ หรือพระเครื่องนั้น มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 700 - 800 ปี แล้ว และเชื่อกันว่าคงมิได้สร้างเฉพาะพระพิมพ์เท่านั้น น่าจะมีการสร้างพระพุทธรูป และถาวรวัตถุอื่นๆ ในพระพุทธศาสนาไว้อีกด้วย

ในพระราชนิพนธ์เรื่องเสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวไว้ว่า “ของถวายในเมืองกำแพงเพชรนี้ ก็มีพระพิมพ์เป็นพื้น” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชาวกำแพงเพชรในการให้พระเครื่องเป็นของที่ระลึก สำหรับผู้ที่เคารพนับถือและมิตรสหาย

สมหมาย พยอม ผู้ริเริ่มแหล่งเรียนรู้
พระกำแพงซุ้มกอ พุทธศิลป์สกุลช่างกำแพงเพชร

ข้อความตามศิลาจารึกหลักที่ 8 (ศิลาจารึกเขาสุมนกูฏ) มีการเรียกเมืองนครชุมว่า “นครพระชุม” ซึ่งอาจจะมีความหมายถึงเป็นเมืองที่รวมของพระ หรืออาจหมายถึงมีพระมาก ซึ่งในครั้งที่มีการรื้อพระศรีรัตนมหาธาตุเจดีย์ ที่วัดพระบรมธาตุนครชุม สถานที่ค้นพบศิลาจารึกหลักที่ 3 (ศิลาจารึกนครชุม) ก็มีการพบพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก และนับว่าเป็นต้นตอของพระเครื่องตระกูลทุ่งเศรษฐี ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกำแพงเพชร

พระเครื่องของจังหวัดกำแพงเพชรมีชื่อเสียงในด้านความสง่างามด้วยศิลปะที่เกิดจากประติมากรรมของช่างสกุลกำแพงเพชร นักโบราณคดีบางคนกล่าวว่า เป็นพุทธประติมากรรมของพระพุทธศาสนาที่มีฝีมือเป็นเลิศ มีความคิดอิสระ และมีแรงบันดาลใจสูง จึงเกิดความประณีตงดงามอันหาค่าไม่ได้

เนื้อส่วนผสมของพระเครื่องมีทั้งเนื้อดิน เนื้อชิน เนื้อเงิน เนื้อนาค และเนื้อทอง โดยเฉพาะเนื้อดิน จัดเป็นเนื้อเกสรที่มีความอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ และสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดกำแพงเพชร เซียนพระทั้งหลายมักจะรู้กันว่า กำแพงเพชรเป็นแหล่งรวบรวมพระเครื่องแหล่งใหญ่ของประเทศ ซึ่งพระเครื่องที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปมีสองกรุ คือ

เตาเผาพระ
กรุพระเครื่องฝั่งตัวเมืองกำแพงเพชร เป็นที่รวมของพระบูชาที่มีพุทธศิลป์ทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่ทวารวดี ลพบุรี เชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง อยุธยา ได้แก่ กรุวัดพระแก้ว กรุวัดป่ามืด กรุวัดมหาธาตุ กรุวัดช้างรอบ กรุวัดสิงห์ กรุวัดสี่อิริยาบถ กรุลานดอกไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีพระบูชาจากนอกประเทศไทยมาบรรจุอยู่ในกรุด้วย เช่น ลังกา ศรีวิชัย และพม่า

กรุทุ่งเศรษฐี ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวจังหวัดกำแพงเพชรในปัจจุบัน กรุพระที่อยู่ในตระกูลทุ่งเศรษฐีมีเป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุวัดพระบรมธาตุ กรุเจดีย์กลาง กรุวัดพิกุล กรุซุ้มกอ กรุบ้านเศรษฐี กรุฤาษี เป็นต้น และพระเครื่องในตระกูลนี้ ได้แก่ พระกำแพงซุ้มกอ พระกำแพงเม็ดขนุน และพระกำแพงพลูจีบ ก็ได้รับเกียรติจากวงการพระเครื่องให้บรรจุอยู่ในชุดเบญภาคี

พระกำแพงซุ้มกอ ซึ่งอยู่ในตระกูลทุ่งเศรษฐี มีชื่อเสียงในด้านความสง่างามด้วยศิลปะแห่งประติมากรรมของสกุลช่างกำแพงเพชร มีลักษณะงดงามเป็นอันดับหนึ่งของพระนั่งตระกูลทุ่งเศรษฐี มีทั้งเนื้อดิน เนื้อชิน และเนื้อว่าน พุทธลักษณะมีทั้งสมาธิเพชร และสมาธิราบ โดยเฉพาะพระกำแพงซุ้มกอพิมพ์ใหญ่ มีพุทธลักษณะ ศิลปะเชียงแสนผสมกับสุโขทัย คือพระองค์อวบอ้วน พระอุระผึ่งนูนแลเด่นสง่างามแบบเชียงแสน พระนาภีเรียว การทิ้งพระพาหา และการขัดสมาธิงดงามแบบสุโขทัย องค์พระมีประภามณฑล รอบพระเศียรคล้ายรูปทรงของตัว ก.ไก่ จึงเรียกกันว่า ซุ้มกอ มี 2 แบบ คือแบบที่มีลายกนก และแบบไม่มีลายกนก การพบพระซุ้มกอ มีสองระยะ คือ

ระยะแรก เมื่อสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) เสด็จมาเยี่ยมญาติที่ กำแพงเพชร ราว พุทธศักราช 2392 ได้ค้นพบพระเครื่องที่วัดพระบรมธาตุ นครชุม เป็นพระซุ้มกอจำนวนมาก เป็นขนาดพิมพ์ใหญ่อย่าง เดียว พบจารึกลานเงิน กล่าวถึงการสร้างพระเครื่อง พบคาถาและวิธีการในการสร้างพระเครื่อง เล่ากันว่าทรงนำไป สร้างสมเด็จวัดระฆังอันศักดิ์สิทธิ์ ระยะที่ 2 ประมาณพุทธศักราช 2490 ที่กรุทุ่งเศรษฐี มียอดเจดีย์หัก พบพระซุ้มกอจำนวนมากมีอักขระ อุ นะ อุ แบบเชียงแสน พระพักตร์และสีเนื้องดงามมาก

พระกำแพงซุ้มกอ มีหลายพิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก และพิมพ์คะแนน คำนิยามสำหรับพระซุ้มกอว่า มีกูไว้แล้วไม่จน ส่วนพระพุทธคุณ ของพระกำแพงซุ้มกอ คือ เป็นยอดทางเมตตามหานิยม โภคทรัพย์ โชคลาภเป็นสิริมงคล ไม่มี สิ่งใดทำลายล้างได้

วิธีใส่ราหนึ่งในกระบวนการทำให้ดูคล้ายพระเก่า
เรียนรู้เรื่องพระเครื่องนครชุม

ในปัจจุบัน สำหรับคนที่ไม่ใช่เซียนพระ หรืออยู่ในวงการพระเครื่อง อาจจะหาชมพระเครื่องของเมืองนครชุมได้ยากเสียหน่อย แต่หากว่ามาที่ แหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุม ก็จะได้เห็นพระเครื่อง รวมถึงกระบวนการทำพระเครื่องให้เหมือนกับของเก่าอีกด้วย

แหล่งเรียนรู้แห่งนี้ เริ่มต้นขึ้นมาจาก สมหมาย พยอม ผู้มีถิ่นฐานอยู่ในเมืองนครชุม และคลุกคลีอยู่ในวงการพระเครื่อง ด้วยความที่มีใจรัก จึงศึกษาและจดจำวิธีการทำพระเครื่องจากช่างพระเครื่องในกำแพงเพชร แล้วนำมาทดลองทำพระซุ้มกอได้เป็นอันดับแรก

ในปี พ.ศ.2551 ก็ได้จัดตั้งแหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุมขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่สนใจในเรื่องวิธีการทำพระเครื่อง ซึ่งภายในแหล่งเรียนรู้ก็จะมีสมาชิกที่คอยสาธิตกระบวนการทำพระเครื่องในขั้นตอนต่างๆ ให้ได้ชม

สำหรับการทำพระเครื่อง หรือพระพิมพ์นั้น เริ่มจากการนำดินที่ได้มาทุบ แล้วหมักไว้ 1 คืน จากนั้นก็นำดินมานวดให้นิ่มพอดี ไม่แข็งหรือเหลวเกินไป ถัดมา ให้นำแป้งมาโดยที่แม่พิมพ์พระ เพื่อที่เวลากดดินลงกับแม่พิมพ์แล้วดินจะได้ไม่ติดกับแม่พิมพ์ และสามารถนำดินออกมาได้ง่าย โดยแม่พิมพ์พระที่ใช้ก็ได้มาจากการจำลองจากพระเครื่องนครชุมของแท้ ที่เป็นของเก่าของแก่ จึงทำให้พระพิมพ์ที่ทำออกมานั้นมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับของเก่ามากทีเดียว

พระพิมพ์ที่ใส่คราบเรียบร้อยแล้ว
เมื่อกดดินลงกับแม่พิมพ์จนดินขึ้นเป็นรูปแล้ว ก็นำออกมาใส่ถาด พึ่งลมไว้ในร่มประมาณจนแห้ง และนำออกตากแดดให้แห้งสนิท ต่อด้วยการนำพระไปเผาที่เตาประมาณ 24 ชั่วโมง ซึ่งจะต้องคอยเติมถ่าน และควบคุมไม่ให้ไฟแรงเกินไป ครบกำหนดเวลาแล้วก็นำพระออกจากเตา นำมาวางเรียงเพื่อใส่รา ใส่คราบพระ สุดท้ายให้นำใบตองแห้งของกล้วยน้ำว้ามาขัด ก็จะได้พระเครื่องนครชุมที่ดูคล้ายของเก่าแก่

พระเครื่อง หรือพระพิมพ์ ที่ได้มานั้น ทำให้คนรุ่นปัจจุบันได้ศึกษาตั้งแต่ความเป็นมาตั้งแต่สมัยก่อน จนมาถึงกระบวนการทำพระในสมัยนี้ ที่ยังคงความงามตามภูมิปัญญาดั้งเดิมของชนชาวไทย และยังคงสืบสานพุทธศิลป์ที่สวยงามนี้ไว้ต่อไป

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุม ตั้งอยู่ที่ 066 หมู่ 3 ซอยชากังราว ต.นครชุม อ.เมือง จ.กำแพงเพชร เปิดให้เข้าศึกษาดูงานเป็นหมู่คณะ โดยสามารถติดต่อได้ที่ 08-9641-2543 ทางศูนย์เปิดบริการทุกวัน

Saturday 23 July 2011

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙) - เสียงธรรม : เว็บไซต์ธรรมะไทย

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙) - เสียงธรรม : เว็บไซต์ธรรมะไทย

จิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย : วัดพุทธปทีป ณ กรุงลอนดอน จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net

จิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย : วัดพุทธปทีป ณ กรุงลอนดอน จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net

ญาณทิพย์

ญาณทิพย์

:ผมไปดูกรรมกับ คุณหม่อม มณฑล สายทัศน์ มาแล้ว

29051:ผมไปดูกรรมกับ คุณหม่อม มณฑล สายทัศน์ มาแล้ว

คุณต้นเขาดูฟรีครับ แต่ตอนนี้คิวยาวเป็นหางว่าวเลย
หลังๆมานี้ผมก้ติดต่อคุณต้นยากมาก เขาดูแค่วันละ 5 คน แต่คิวเป็นร้อย

ลองเข้า google แล้วพิมพ์ว่า พรหมพันกร

แล้วเข้าไปดูได้ครับ


อ. ประทีป คิวไม่เยอะมาก แต่ต้องเสียค่าดู 299 ดูทางโทรศัพท์
ไม่จำกัดเวลา คุยแบบจริงใจ ไม่เหมือนหมอดูอื่นที่จะเร่งๆดูให้จบ

อ ท่านนี้จะใช้ญาณบอกในสิ่งที่ใจเราคิด และบอกถึงทุกข์ในใจเรา
ว่าติดขัดอะไร และบอกทางแก้ให้
คนที่ไปดูหมอมาเยอะๆ แต่ยังหาคำตอบตัวเองไม่ได้
มาหา อ ท่านนี้ จะเคลียร์ กระจ่างทุกอย่างเลย
ญาณท่าน สุดยอด

อ.ประทีป คนนี้ คิดค่าดู 299 ครับ

เบอร์โทร อ ประทีป
0899264266


ส่วนคุณหม่อมก็แม่นมากเหมือนกัน รู้ลึกรู้จริง
แต่คิวยาวสุดๆ ข้ามปีเลย และราคาค่าดู 1000 บาท
เบอร์คุณหม่อม 0859532336

การแก้กรรมจากเจ้ากรรมนายเวร โดยการนั่งสมาธิ

การแก้กรรมจากเจ้ากรรมนายเวร โดยการนั่งสมาธิ

Monday 18 July 2011

Earthchie's Blog - 10 | เชื่อม Status จาก Google+ ไป Facebook และ Twitter

Earthchie's Blog - 10 | เชื่อม Status จาก Google+ ไป Facebook และ Twitter

จดหมายถึงบัณฑิตใหม่ : มติชนออนไลน์

จดหมายถึงบัณฑิตใหม่ : มติชนออนไลน์
นิ้วกลม
www.facebook.com/Roundfinger.BOOK

ถึง น้องบัณฑิตศักดิ์และน้องบัณฑิตศรีทั้งหลาย

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับน้องๆ ที่สำเร็จการศึกษา ได้รับปริญญาสมใจนึก หลังจากที่หลังขดหลังแข็งนั่งเรียนอย่างหมั่นเพียรบ้าง หมั่นซีร็อกเล็กเชอร์เพื่อนบ้างมาเป็นเวลาตั้งสี่ปีเป็นอย่างน้อย

นี่ก็เข้าฤดูรับปริญญาของน้องๆ แล้วสินะ

น้องสาวทั้งหลายคงต้องเตรียมจัดหาช่างแต่งหน้าทำผมกันจ้าละหวั่น จ้างช่างมือดีมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เห็นว่าบางคนต้องตื่นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตีสี่ (ทั้งที่ปกติเวลาต้องมาเรียนนี่แปดโมงเช้ายังกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงนอน) บางคนมีการทดลองทำผมหลายทรงก่อนวันจริง

วันซ้อมหนึ่งทรง วันจริงอีกหนึ่งทรง จะได้ถ่ายรูปออกมาไม่ซ้ำอารมณ์กัน

บ้างเปลี่ยนช่างแต่งหน้าช่างทำผมกลางอากาศ เนื่องจากฝีมือที่แต่งให้ในวันซ้อมไม่เป็นที่ถูกใจ บ้างแต่งหนาไป บางไป บ้างก็ทำให้บัณฑิตผู้เพิ่งสำเร็จการศึกษาหน้าตาเหมือนคุณป้าที่เรียนจบมาแล้วหลายปี

ผู้หญิงบางคนแก่ขึ้นมากในวันรับปริญญาก็เพราะการแต่งหน้าที่ "จัด" เกินจำเป็น ทั้งที่ตอนแต่งหน้ามาเรียนด้วยฝีมือตัวเองนั้นก็ดูดีน่ารักสมวัยอยู่แล้ว

พอจัดหนักอายุและอาการก็เลยหนักตามไปด้วย

ทั้งที่ราคาช่างแต่งหน้าก็หนักเอาการอยู่

สมัยนี้พี่เดาว่าน้องๆ ผู้ชายหลายรายอาจมีการแต่งหน้าเพื่อถ่ายรูปในวันรับปริญญากับเขาเช่นกัน

คงมีทั้งแบบแต่งจัด และแต่งบางๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติ

มีทั้งแต่งเอง มีทั้งจ้างช่างมาแต่ง

ในวันรับปริญญา พวกเราราวกับเป็นดารา ผู้คนมากหน้าหลายตาวิ่งกรูกันเข้ามารุมล้อมขอถ่ายรูปทั้งรูปคู่และรูปคี่ กล้องถ่ายรูปนับสิบนับร้อยล้อมหน้าล้อมหลัง น้องๆ จะเข้าใจความรู้สึกของอั้ม-พัชราภา เข้าใจความรู้สึกของโดม-ปกรณ์ ลัม ก็ในวันนี้นี่เอง

น้องบัณฑิตศักดิ์และน้องบัณฑิตศรีเตรียมตัวเอาไว้ได้เลย น้องๆ ต้องฉีกยิ้มให้กล้องทั้งวันอย่างแน่แท้

ไม่รวมการต้องกล่าวทักทายน้องรหัส พี่รหัส ป้ารหัส ลุงรหัส ไล่ไปถึงอากงอาม่ารหัสที่จะร่วมแสดงความยินดีกับน้องอีกมากมาย

เรียนว่าเหนื่อยแล้ว แต่บางทีรับปริญญานี่เหนื่อยกว่าอีกนะ

บางคนมาถึงก็แสดงความคิดเกี่ยวกับการแต่งหน้าและทรงผมของเราในทันใด

ถ้าเป็นคำชมประเภท "วันนี้แต่งหน้าน่ารักดีนะ" อันนี้ก็รอดไป แต่ถ้าเป็นประเภทจริงใจอย่าง "โอย แกไปให้ใครแต่งหน้ามาเนี่ย แกดูซิ้มมากเลยวันนี้" แบบนี้น้องอาจจะเสียเซลฟ์ไปทั้งวัน ในใจก็อาจนึกแค้นเคืองช่างแต่งหน้าราคาแพงที่อุตส่าห์จ้างมา อีกใจก็อยากเอาใบปริญญาตบหัวเพื่อนผู้จริงใจคนนั้นสักป้าบ

ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจึงซีเรียสกับการแต่งหน้าทำผม เพราะรู้ว่านี่เป็นโอกาสสำคัญที่ฉันต้องสวย หากไม่สวยงวดนี้อาจต้องรออีกสองปีกว่าจะได้รับปริญญาอีกทีตอนปริญญาโท (ซึ่งถ้าปริญญาโทยังพลาด แต่งหน้าไม่ดีอีก อาจต้องเรียนอีกห้าปีเพื่อแก้ตัวในวันรับปริญญาเอก ถึงตอนนั้นก็เป็นซิ้มโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องแต่ง)

การแต่งหน้าให้สวยในวันรับปริญญาของสาวๆ จึงชวนให้เครียดกว่าการทำโจทย์แคลคูลัส ทำแล็บแยกสารเคมี หรือท่องประมวลกฎหมายเสียอีก



ผ่านพ้นเรื่องการแต่งหน้าทำผมตั้งแต่ตีสี่ และการถ่ายรูปกับผู้คนนับร้อยนับพัน น้องๆ บัณฑิตยังต้องเผชิญหน้ากับของขวัญอีกจำนวนมหาศาล

น้องๆ มักฉีกยิ้มและกล่าวคำขอบคุณกับผู้ที่หยิบยื่นของขวัญมาให้แทบทุกชิ้น

แต่ในใจอาจคิดว่า "กูรู้นะ มึงเพิ่งมาซื้อหน้ามหา"ลัย"

ของขวัญยอดฮิตหนีไม่พ้นช่อดอกไม้น้อยใหญ่ทั้งหลายที่ช่วยประดับประดาให้วงแขนของบัณฑิตทั้งหลายไม่ดูโล่งโจ้งจนเกินไปนัก แต่บางคนที่ได้รับช่อดอกไม้เยอะจัดก็ดูคล้ายราชาหรือราชินีเพลงลูกทุ่งมากกว่าบัณฑิตที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา ถ้าได้มาลัยแขวนคอสักสามสี่พวงล่ะก็ใช่เลย

นอกจากดอกไม้แล้วก็น่าจะเป็นตุ๊กตาหมี หมา แมว ช้าง ม้า วัว ควาย ไล่ไปถึงแรด

ควายบางตัวมีคำพูดผูกติดคอมาว่า "ถึงโง่ก็เรียนจบ"

เช่นกันกับแรดบางตัวที่มีคำพูดติดมาว่า "แรดแต่เรียนจบ"

เดาว่าน่าจะถูกใจบัณฑิตทั้งหลายมิใช่น้อย

ของขวัญยอดฮิตอีกหนึ่งอย่างที่เห็นเป็นประจำในช่วงหลังคือ ป้ายเหล็กสีขาวสีแดงที่ทำเลียนแบบป้ายทะเบียนรถ เขียนว่า "จบ 2554" (ตัวเลขจะเปลี่ยนไปตามปีที่จบ) ครั้งแรกที่เห็นพี่ก็รู้สึกว่ามันสร้างสรรค์ดี แต่พอเห็นคนซื้อกันเยอะๆ ก็ได้แต่คิดว่า น้องๆ บัณฑิตทั้งหลายจะได้ป้ายเหล็กนี้ไปคนละกี่แผ่นกันนะ

คำถามว่า "ได้คนละกี่แผ่น" ไม่น่าสนใจเท่าคำถามว่า "แล้วมันจะเอาไปทำอะไรกัน"

แน่ละ เรารับปริญญาทั้งที เพื่อนก็อุตส่าห์มีน้ำใจซื้อของขวัญมาให้ เราย่อมดีใจเป็นธรรมดา แต่สำหรับพี่แล้ว พี่คิดว่าของขวัญแบบที่ใครๆ ก็ซื้อให้กันตามๆ กันแบบนี้ โดยเฉพาะพวกที่มาเดินซื้อหาเอาแถวหน้ามหาวิทยาลัยในวันที่พวกเขามาแสดงความยินดีนั้น ออกจะเป็นของขวัญที่คิดสั้นไปสักหน่อย คิดน้อยไปสักนิด

พอคิดสั้น อายุของพวกมันก็สั้นตามไปด้วย

นี่พี่พูดในฐานะของคนที่เคยรับปริญญามาก่อน (แต่ตอนนั้นพี่ไม่ได้จ้างแต่งหน้าทำผมนะ อืม...แต่ก็จ้างตากล้องไปหลายตังค์อยู่) ประสบการณ์แสดงให้พี่เห็นว่า ของขวัญทั้งตุ๊กตาและของชำร่วยทั้งหลายจะถูกนำมากองรวมกันมัดใส่ถุงพลาสติกและเก็บไว้ในห้องเก็บของใต้บันได ชิ้นไหนคนให้มีความสำคัญหน่อยก็อาจเขยิบฐานะมาอยู่บนโต๊ะทำงาน บ้างอยู่บนหิ้ง ในตู้โชว์ แต่ก็มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นแหละ

นอกนั้นชะตากรรมของพวกมันมักจะออกไปทางเศร้าๆ

ไม่มีใครสนใจ บ้างฝุ่นเกาะ บ้างหยากไย่ขึ้น

ไม่ค่อยมีใครเอาใจใส่หรือเก็บรักษามันอย่างจริงจัง อายุใช้งานหลักๆ ของพวกมันเหมือนจะมีเพียงแค่วันเดียว คือวันนั้น-วันรับปริญญา

มันทำหน้าที่เป็นแค่ "ของขวัญ"

เมื่อหมดหน้าที่มันจึงไม่รู้จะทำอะไรต่อ



ถ้าน้องได้รับของขวัญพวกนี้มาเยอะมาก พอมาถึงบ้านน้องอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชิ้นไหนใครให้ ตุ๊กตาตัวไหนใครให้มา แถมบางทีก็มีคนให้ของเหมือนๆ กันซ้ำกันอีกต่างหาก

จึงดูเหมือนว่างานรับปริญญาเป็นงานที่หมุนไปด้วยการใช้เงิน

ตั้งแต่ค่าชุด ค่าช่างต่างหน้า ช่างทำผม ช่างกล้อง (ซึ่งรวมไปถึงค่าอัดรูป ล้างรูป) ค่ารูปหมู่กับเพื่อนในคณะ ค่ารูปตอนที่รับปริญญา ไล่ไปถึงค่าของขวัญที่ญาติมิตรซื้อมาให้

รับปริญญากันทีก็จนกันเลยทีเดียว

พี่คิดว่าในฐานะที่เราเป็นบัณฑิตผู้ร่ำเรียนมาตั้งสี่ปี ห้าปี หกปี เราน่าจะลองนั่งลงคิดสักนิดเหมือนกันนะว่า เราสามารถมีบรรยากาศในงานรับปริญญาที่สร้างสรรค์หรือสมเหตุสมผลมากกว่านี้ได้ไหม

ไม่ต้องแต่งหน้ากันโอเวอร์ขนาดนั้น ไม่ต้องถึงขนาดหิ้วไฟ ยกรีเฟล็กซ์กันราวกับจะถ่ายแฟชั่น แทนที่จะทำแบบนั้นถ้าเราทำให้งานรับปริญญาเป็นงานแสดงความยินดีของคนใกล้ชิด เรียกน้องรหัสมาช่วยถ่ายรูปให้ แม้จะไม่ได้ออกมาสวยเหมือนนางแบบนายแบบ แต่ก็เป็นความทรงจำว่าไอ้เจ้านี่มีน้ำใจมาถ่ายรูปให้เรา แถมเรายังอาจจะยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าการต้องมีผู้ช่วยช่างกล้องมาถือรีเฟล็กซ์ส่องหน้าให้สว่างมีเฮ้ากวงราวเจ้าแม่กวนอิม

ทำผมแต่งหน้าก็พี่ๆ น้องๆ ช่วยๆ กันทำ คุณแม่อาจจะร่วมลงมือ อีกหน่อยเวลากลับมาดูภาพก็จำได้ว่าหัวกระเซิงๆ ของเราทรงนั้นมาจากฝีมือของคุณแม่ หน้าอ่อนๆ สวยๆ เป็นฝีมือพี่สาว

แล้วของขวัญล่ะ มีของขวัญที่มีประโยชน์และอายุยืนยาวกว่าดอกไม้ ตุ๊กตา และป้ายเหล็กพวกนั้นไหม

ถ้าน้องยังคิดไม่ออก พี่แนะนำว่า น้องน่าจะบอกญาติมิตรที่มาร่วมแสดงความยินดีว่า "ขอของขวัญเป็น "หนังสือ" คนละเล่ม"

ลองคิดดูว่าถ้าน้องได้รับหนังสือจากคนที่มาร่วมแสดงความยินดีคนละเล่ม น้องจะมีหนังสืออ่านไปอีกกี่ปี

ยิ่งคนมาเยอะ ก็ยิ่งมีหนังสือเยอะ

อะไรจะเหมาะกับบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษามากไปกว่าสาระและความรู้

ที่สำคัญ หนังสือไม่บูดไม่เสีย ไม่ล้าสมัย เก็บไว้ใช้ได้อีกนาน

หากน้องมีไอเดียของขวัญอะไรเด็ดๆ อย่างอื่นอีกก็ลองบอกกับญาติมิตรทั้งหลายดู อย่างในงานศพของคุณลุง "รงค์ วงษ์สวรรค์ ท่านก็ระบุว่าขอให้ผู้มาร่วมงานถือต้นไม้มาคนละหนึ่งต้นแทนพวงหรีด

เมื่อเสร็จงาน ต้นไม้เหล่านั้นก็ถูกนำไปปลูกเพื่อสร้างอากาศดีๆ ให้แก่โลกใบนี้ต่อไป

สร้างสรรค์ดีเนอะ ว่าไหมน้องๆ

ไหนๆ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตกับเขาทั้งที น่าจะลองใช้สมองแบบบัณฑิตๆ คิดหาวิธีจัดงานรับปริญญาแบบมีความคิด ไม่ไหลไปตามกระแสที่เป็นอยู่ (และเป็นมานานแล้ว) ดูกันสักตั้ง เพราะเวลาพี่เห็นบัณฑิตและพ่อแม่พี่น้องหอบตุ๊กตาควายตุ๊กตาแรดกลับบ้านกันเป็นคันรถแล้วรู้สึกน่าสงสารยังไงก็ไม่รู้

ลองดูนะน้องบัณฑิตศักดิ์และน้องบัณฑิตศรี รับปริญญาปีนี้ไม่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ใช้สมองเยอะๆ น่าจะสนุกกว่า



ขอแสดงความยินดีกับน้องๆ อีกครั้ง อ้อ ถ้ากำลังถามหา "ของขวัญ" จากพี่ พี่ขอมอบจดหมายฉบับนี้นี่แหละเป็นของขวัญแด่น้องๆ อย่าลืมนะว่า การเรียนจบนั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุด มันเป็นจุดเริ่มต้นต่างหาก

คุณ Tom Brokaw เคยพูดไว้ดีเชียว แกบอกว่า "คุณจบการศึกษาแล้ว คุณมีใบปริญญาบัตรอยู่กับตัว คุณอาจคิดว่ามันเป็นตั๋วเพื่อพาไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า แต่ผมอยากให้คุณลองคิดถึงมันอีกแบบหนึ่ง ลองคิดว่าใบปริญญาที่คุณได้รับมานั้นเป็นตั๋วเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น"

ยังมีคนอีกมาก ยังมีปัญหาอีกมากที่รอให้เรานำวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาไปช่วยเหลือ พัฒนา ร่วมกันคิดร่วมกันทำให้สังคมและโลกใบนี้ดีกว่าที่มันเป็นอยู่

เราร่ำเรียนมาเพียงเพื่อจะเอาตัวรอดเท่านั้น หรือจะพาสังคมให้รอดไปด้วย

ตั๋วอยู่ในมือน้องแล้ว!

ฐากูร พานิชกุล ดีไซเนอร์ไทยดาวรุ่ง เจ้าของแบรนด์ 'THAKOON' ที่สตรีหมายเลข 1 สหรัฐใส่ | ไทยโพสต์

ฐากูร พานิชกุล ดีไซเนอร์ไทยดาวรุ่ง เจ้าของแบรนด์ 'THAKOON' ที่สตรีหมายเลข 1 สหรัฐใส่ | ไทยโพสต์

ฐากูร พานิชกุล ดีไซเนอร์ไทยดาวรุ่ง เจ้าของแบรนด์ 'THAKOON' ที่สตรีหมายเลข 1 สหรัฐใส่

ศิลปวัฒนธรรม

19 กรกฎาคม 2554 - 00:00

มีดีไซเนอร์อเมริกันเชื้อสายไทยคนหนึ่งที่น่าสนใจประสบความสำเร็จในการออกแบบแฟชั่น ซึ่งปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ดีไซเนอร์หนุ่มที่กล่าวถึงนี้มีชื่อว่า ฐากูร พานิชกุล เจ้าของแบรนด์ THAKOON ซึ่งปัจจุบันเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในอเมริกา มิเชล โอบามา ภริยาประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็เลือกใส่เสื้อผ้าในคอลเลคชั่น THAKOON แล้วยังมีดารา เซเลบคนดังมะกันอีกมากมายชมชอบแบรนด์นี้
ล่าสุด กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เชิญนักออกแบบไทยชื่อดังจากอเมริกาผู้นี้เดินทางมาประเทศไทย เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำงานวงการแฟชั่นระดับนานาชาติ พร้อมกับแนะกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้กับนักออกแบบไทยและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแฟชั่น ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลับแผ่นดินเกิดอีกครั้งหนึ่ง
และในงานแถลงข่าว THAKOON TALK ณ สำนักปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี ฐากูร พานิชกุล ได้มานั่งพูดคุยถึงที่มาที่ไป และเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สอบถามถึงชีวิตและการทำงานบนถนนแฟชั่นในสหรัฐ
ฐากูรเล่าให้ฟังว่า เป็นคนนครพนม เกิดและเติบโตที่ประเทศไทย จนกระทั่งอายุ 10 ปี ครอบครัวย้ายไปอยู่ที่รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา ศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยบอสตันด้านบริหารธุรกิจ จากนั้นย้ายไปนิวยอร์กเพื่อทำงานด้านแฟชั่น งานชิ้นแรกตำแหน่งบายเออร์ที่ J.Crew รับผิดชอบด้านการผลิต จากนั้นไปเป็นนักเขียนกองบรรณาธิการนิตยสาร Harper's Bazaa ทำงานอยู่ 4 ปี และเริ่มเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าที่ Parsons ไปควบคู่กัน ต่อมาในปี พ.ศ.2546 เปิดแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองในชื่อ THAKOON ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่นในนิวยอร์ก เลือกเดินทางนี้จากแรงผลักดันใจและอยากพิสูจน์ตัวเอง
"ด้วยใจรัก ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักออกแบบ เป็นแรงบันดาลใจในการทำ แรกๆ อยากทำอะไรก็ทำ เวลาผ่านมาโตขึ้นเริ่มมองด้านธุรกิจแฟชั่น และมองภาพที่กว้างขึ้น คำนึงถึงสิ่งที่คนอยากสวมใส่ ทำให้เติบโตทางด้านธุรกิจ การทำธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่นในนิวยอร์กไม่ง่าย ยากมาก ที่นี่คือเมืองแฟชั่นของสหรัฐ และมีนักออกแบบรุ่นใหม่ไฟแรงเยอะมากๆ เราจึงต้องเติบโตไปพร้อมแบรนด์และเอาชนะคู่แข่งให้ได้" ฐากูร ซึ่งคว้ารางวัลดีไซเนอร์หน้าใหม่ในระดับอินเตอร์ กล่าว
ฐากูรบอกด้วยว่า ทุกครั้งที่ผลงานของตัวเอง หรือแบรนด์ THAKOON ปรากฏตามสื่อต่างๆ จะบอกให้ทุกๆ คนรู้ว่าแบรนด์นี้เป็นของดีไซเนอร์ไทย ส่วนในการออกแบบเสื้อผ้าต้องทำให้มีความเป็นสากล คงความเป็นอินเตอร์ ผลงานจึงมาจากแนวคิดที่หลากหลายมุมของโลก คนสหรัฐไม่สนใจสัญชาติหรือศาสนาอะไรทั้งนั้น แต่จะเน้นผลงานที่ดี มีคุณภาพ หากใครทำได้ก็ประสบความสำเร็จ ในการออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นในตลาดต่างประเทศต้องใช้วัสดุทั่วโลก อย่างผ้าไหมของไทย ที่คนไทยภาคภูมิใจ หากต้องมาออกแบบให้เข้ากับเสื้อผ้าของคนต่างชาติต้องทำการบ้านหนัก และใช้ความคิดสร้างสรรค์สูง เพื่อไปสู่ระดับโลกให้ได้
กล่าวถึงมิเชล โอบามา ภริยาของบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าแบรนด์ THAKOON แถมยังใส่ชุดของเขาออกงานใหญ่ระดับชาติสหรัฐหลายครั้ง อย่างชุดราตรีดอกไม้สีม่วงแดงดำ หรือชุดลายดอกไม้โทนเหลืองน้ำตาล ฐากูรเล่าว่า คุณมิเชลรู้จักแบรนด์นี้ก่อนเป็นภริยาประธานาธิบดี เธอเป็นนักช็อปปิ้งตัวยง เมื่อได้เห็นชุดในร้านแห่งหนึ่งที่เมืองชิคาโกก็ชอบดีไซน์ รูปทรง และวัสดุที่ใช้ตัดเย็บ เมื่อเป็นภริยาผู้นำได้สั่งซื้อชุดมากขึ้น รวมถึงเข้ามาที่ร้านให้เป็นผู้ออกแบบชุด นอกจากมิเชล ยังมีดารานักแสดงชื่อดังอีกหลายคนซื้อผลงานในคอลเลคชั่นของตนไปสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
กับความสำเร็จที่เขารอคอยและมาถึงแล้วนั้น เจ้าตัวบอกทั้งดีใจและภูมิใจที่สุด และก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ดี การดำเนินธุรกิจแฟชั่นให้มีความยั่งยืนและเป็นที่นิยมของลูกค้าได้ตลอดนั้น ดีไซเนอร์คนเก่งเน้นย้ำ นอกจากความรู้สึกและความต้องการของดีไซเนอร์ จะต้องตั้งใจคิดว่าผู้หญิงต้องการสวมใส่เสื้อผ้ารูปแบบใด และทำให้คนต้องการใส่ชุดของเราตลอดเวลา" เอกลักษณ์ของแบรนด์ THAKOON ผู้หญิงใส่แล้วสวย เด่น เป็นสง่า ดูเป็นสุภาพสตรี แล้วก็มีรสชาติของงานศิลปะ"
สำหรับแนวโน้มธุรกิจแฟชั่นนับจากนี้ ฐากูรมองว่า 5 ปีที่ผ่านมา แบรนด์เสื้อผ้าที่ผลิตในเชิงพาณิชย์เป็นที่นิยม โดยมีเงื่อนไขเรื่องค่าใช้จ่ายทั่วโลกและต้นทุนที่สูงขึ้นเป็นตัวกำกับ แต่ตอนนี้คนเริ่มหันหลับมามองแบรนด์เสื้อผ้าที่เป็นงานแฮนด์เมด ประณีตพิถีพิถัน มีความเป็นเอกลักษณ์ และเป็นแบรนด์ Luxury มากขึ้น
ในท้ายนี้ ฐากูรซึ่งมีชื่อเสียงในวงการแฟชั่นสหรัฐ อยากฝากถึงดีไซเนอร์รุ่นใหม่ชาวไทยทุกคนให้สร้างสรรค์ผลงานที่นวัตกรรม ซึ่งจะทำได้ต้องคิดนอกกรอบ โดยไม่ลืมศึกษาวิถีวัฒนธรรมไทยและพื้นฐานของแฟชั่นไทย ในการสร้างงานต้องมีสมาธิ ขยันทำการบ้านให้มาก พยายามสร้างสรรค์ดีไซน์เพิ่มเติม ไม่ซ้ำแบบเดิม ที่สำคัญต้องเปิดโลกทัศน์ดูการเปลี่ยนแปลงของโลก
"คิดและทำงานให้หนักเรื่องแฟชั่นเกี่ยวกับการสวมใส่ เสื้อผ้าเป็นงานศิลปะได้ แต่ก็ต้องสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวันด้วย ขยันจึงจะประสบความสำเร็จ" ดีไซเนอร์ดาวรุ่งฝากไว้ตรงนี้ ทุกคนมีโอกาส จงขยัน อดทน และพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อสร้างความฝันให้เป็นจริงได้
สำหรับฐากูร พานิชกุล ได้เป็นที่รู้จักของคนสหรัฐในนามดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ THAKOON ในการนี้ กรมส่งเสริมการส่งออกได้เชิญฐากูรมาเป็นผู้ทำหน้าที่ให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย ตลอดจนอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย และเพื่อเป็นกำลังใจและเป็นตัวอย่างให้กับดีไซเนอร์ไทยคนอื่นๆ ที่จะต่อสู้พัฒนาการทำธุรกิจไปสู่ระดับสากลได้ผ่านโครงการเชิญนักออกแบบชื่อดังจากอเมริกามาไทย ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วได้ติดต่อก้อย สุวรรณเกตุ ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ไทยอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในนิวยอร์กมาสร้างแรงบันดาลใจ เป็นเรื่องน่ายินดีของบรรดาดีไซเนอร์ทั้งหลายในบ้านเราที่มีโอกาสได้ร่วมโครงการนี้.

Monday 4 July 2011

My Thought on Google+ | Isriya Paireepairit

My Thought on Google+ | Isriya Paireepairit

25 Google+ Tips to Enhance Your Google Plus Experience

25 Google+ Tips to Enhance Your Google Plus Experience

[G+ Tools] เล่น G+ หน้าเหมือน FB, ปุ่ม send G+ ไปยัง FB, Twitter | Faceblog.in.th

[G+ Tools] เล่น G+ หน้าเหมือน FB, ปุ่ม send G+ ไปยัง FB, Twitter | Faceblog.in.th

54 Websites with Background Images - InspirationTime - a Gallery of Beautiful Web Design

54 Websites with Background Images - InspirationTime - a Gallery of Beautiful Web Design

[G+ Tools] เล่น G+ หน้าเหมือน FB, ปุ่ม send G+ ไปยัง FB, Twitter | Faceblog.in.th

[G+ Tools] เล่น G+ หน้าเหมือน FB, ปุ่ม send G+ ไปยัง FB, Twitter | Faceblog.in.th

[G+ Tips and Tricks] เล่น Google+ อย่างมีกึ๋น (ขึ้นนิดๆ) | Faceblog.in.th

[G+ Tips and Tricks] เล่น Google+ อย่างมีกึ๋น (ขึ้นนิดๆ) | Faceblog.in.th

Friday 24 June 2011

ชอปปิ้งที่ญี่ปุ่น

- http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=skippyth&date=20-03-2010&group=10&gblog=2

บอร์ดรถ ฮอนด้าซีวิค 3 ประตู

Gmail - http://board.eg3d-club.com/

http://board.eg3d-club.com/

Blogger: A Little Girl's reference room - Publish Status

Blogger: A Little Girl's reference room - Publish Status
UniTV เน็ตทีวี กล่องนี้บันเทิงโนลิมิต
สุกรี แมนชัยนิมิต Positioning Magazine 9 มิถุนายน 2554 Print

0 Comments • Share on Facebook • Email this • View CC license • Subscribe to this feed
Added on: 9/6/2554
UniTV เน็ตทีวี กล่องนี้บันเทิงโนลิมิต

ไม่ต้องติดจาน ไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิกเคเบิลทีวี ไม่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนไม่ต้องซื้อสมาร์ททีวี แค่ "มีกล่องเล็กๆ" ต่อสายไฮสปีดอินเทอร์เน็ต ทีวีธรรมดาก็จะกลายเป็นทีวีฉลาดๆ ที่เลือกดูรายการบันเทิง ดูหนังฟังเพลง เข้ายูทูบได้ นี่คือนวัตกรรมของแอปเปิล กับ "แอปเปิลทีวี" และโมเดลนี้กำลังถูกนำมาใช้ในไทย กลายเป็นโอกาสของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มาด้วยความมั่นใจว่าจะเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้ในอนาคต อย่าง "หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์" ถึงกับเลือกทางเดินใหม่ในการทำธุรกิจ เลิกเป็นออแกไนเซอร์รับจ้างจัดอีเวนต์ แต่ขอเป็น "แอปเปิลทีวี" สำหรับคนไทย

หลายเดือนที่ผ่านมา "หนุ่ย พงศ์สุข" กรรมการผู้จัดการ บริษัทโชว์ไร้ขีด จำกัด (Show No Limit) ได้เร่งหาผู้ผลิตกล่องอินเทอร์เน็ตทีวี คล้ายกับเซตท็อปบ็อกซ์ที่ใช้ระบบเคเบิลทีวี หาตัวแทนจำหน่ายและเจรจากับผู้ผลิตคอนเทนต์ทั่วประเทศ ในโมเดลของ Ecosystem ไม่ว่าจะเป็นฟรีทีวีรายใหญ่ หรือ ผู้ผลิตรายเล็ก ผู้ผลิตเว็บทีวีอย่าง ihere Fukduk ครัวกากๆ และอีกหลายราย เป็นการรวบรวมรายการทีวีให้มากที่สุด เพื่อที่ว่าในปีนี้เขาจะสามารถเปิดตัวธุรกิจใหม่ได้ตามแผนภายใต้ชื่อที่ UniTV และที่สำคัญเพื่อตอบสนองทันความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่

ปรากฏการณ์ที่จุดประกายให้เขาเริ่มคิดถึงกล่องอินเทอร์เน็ตทีวี ไม่ใช่แค่แอปเปิลทีวีเท่านั้น แต่เพราะพฤติกรรมผู้ชมคนไทยต้องการหาสื่อใหม่ๆ สิ่งที่เขาเห็นคือ รุ่งขึ้นหลายคนตามหาคลิปเพื่อดูละคร "ดอกส้มสีทอง" ที่พลาดไม่ได้ดูเมื่อคืนที่ผ่านมา หลายคนย้อนกลับไปดูรายการของ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" ดูผ่านยูทูบ ดูผ่านทีวีในเว็บไซต์ผ่านจอเล็กๆ ของคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเพื่อให้ได้อรรถรสในการชมมากขึ้น กล่องอินเทอร์เน็ตทีวีจะทำให้ทีวีที่มีอยู่เป็นสมาร์ททีวี บีบอัดภาพให้ดูชัดขึ้น ระดับความสามารถถึงขึ้น High Definition ได้ นี่คือจุดแข็งที่ "หนุ่ย" ขอนำเสนอ

ขณะที่คอนเทนต์คือหัวใจสำคัญของธุรกิจนี้ ไม่เช่นนั้นกล่องอินเทอร์เน็ตทีวีก็เป็นเพียงกล่องเปล่าเท่านั้น นอกจากบริษัทโชว์ไร้ขีดจะขายกล่องอินเทอร์เน็ตทีวีแล้ว เขายังสร้างโมเดลใหม่ในการขายคอนเทนต์ คือทำตัวเองเป็นร้านค้ารายการทีวีที่ให้ผู้ชมเลือกซื้อ หรือเลือกดูฟรี ซึ่งมีทั้งเว็บทีวี และรายการรีรันของฟรีทีวี แต่จะไม่มีรายการสด เพราะต้นทุนในการส่งสัญญาณสูง

ผู้ผลิตรายการทีวีรายใดให้ผู้ชมชมฟรี ก็ไม่ต้องแบ่งรายได้ ซึ่งผู้ผลิตอาจมีรายได้จากการขายโฆษณา แต่หากเจ้าของคอนเทนต์คนไหนเก็บค่าชม ก็แบ่งให้ UniTV 30% เป็นโมเดลธุรกิจการแบ่งรายได้เช่นเดียวกับการโหลดแอพพลิเคชั่นจากแอพสโตร์ของแอปเปิล ซึ่งในระยะสั้นรายได้ของ UniTV คือการขายกล่องอินเทอร์เน็ตทีวี แต่ในระยะยาวคือการแบ่งรายได้จากผู้ผลิตคอนเทนต์ต่างๆ ส่วนรายการทีวี "แบไต๋ไฮเทค" ที่บริษัทโชว์ไร้ขีดผลิตออนแอร์ 5 วันในเคเบิลทีวีเครือข่ายต่างๆ โดยยิงสดจากสตูดิโอที่สร้างขึ้นที่ดิจิตอลเกตเวย์นั้นแน่นอนว่าจะเป็นรายการรีรันออนดีมานด์ส่วนหนึ่งใน UniTV

สำหรับผู้ชมจะมีต้นทุนหรือมีวิธีการจ่ายเงินอย่างไรบ้างนั้น สิ่งแรกคือกล่องจะมีราคาเป็นหลักพันบาทขึ้นไป ซึ่งในระยะแรก "หนุ่ย" ยังไม่กล้าหวังยอดคนซื้อกล่องนี้มากนัก เพราะนี่คือรูปแบบใหม่ในไลฟ์สไตล์ผู้ชม ส่วนการทำตลาดเขาจะอาศัยพลังและเครือข่ายของโซเชี่ยลมีเดียช่วยโปรโมต ถือเป็นการเริ่มจากกลุ่ม Influencer เพื่อไปยังผู้ชมคนอื่นๆ หวังว่าใน 1 ปีจะมีคนติดกล่องนี้ 1 แสนครัวเรือน ซึ่งคำนวณโดยดูโอกาสที่เป็นไปได้ คือ จำนวนทีวีมี 8 แสนครัวเรือน และมีไฮสปีดอินเทอร์เน็ต 2 ล้านครัวเรือนซึ่งการใช้กล่องอินเทอร์เน็ตทีวีจะทำให้การเป็นสมาชิกไฮสปีดอินเทอร์เน็ตคุ้มค่ามากขึ้น

ขณะที่ระบบการจ่ายเงินเพื่อดูคอนเทนต์นั้นไม่สามารถเดินตามแอปเปิลทีวีได้ ที่ให้ผู้ชมจ่ายเป็นการดาวน์โหลดแต่ละครั้ง หรือต่อเรื่องได้ เพราะผู้บริโภคคนไทยไม่ชอบแนวนี้ "หนุ่ย" จึงเสนอแบบ "เหมาจ่าย" ส่วนจะเป็นเท่าไหร่นั้นยังอยู่ระหว่างการคำนวณ และไม่ใช่การจ่ายผ่านบัตรเครดิต แต่คือการใช้บัตรเติมเงิน เหมือนอย่างที่ใช้ในโมเดลธุรกิจเกมที่เด็กคุ้นเคยในการซื้อบัตรเติมเงินเพื่อมาเล่นเกมในคอมพิวเตอร์ออนไลน์

การหันมาจับธุรกิจใหม่อย่าง "กล่องอินเทอร์เน็ตทีวี" สำหรับบริษัทโชว์ไร้ขีดนั้นไม่เพียงการมุ่งเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่เขาหวังว่าอัตราส่วนการทำกำไรต่อต้นทุนนั้นสูงกว่าการรับจัดงานอีเวนต์ที่เขาทำมานาน 10 ปี เท่านั้น แต่คือความท้าทายใหม่สำหรับนักธุรกิจวัย 36 ปีอย่างเขา ที่หวังจะสร้างนวัตกรรมให้กับผู้ชมภายใต้กระแสความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกอินเทอร์เน็ต ที่ไลฟ์สไตล์คนในนี้ติดสปีด ไม่ใช่แค่เวิลด์ไวด์เว็บ ไม่ใช่แค่โหลดแอพฯ แต่คือการ Play แล้ว Share จนเส้นทางของธุรกิจบันเทิงนี้ยาวไม่รู้จบ

UniTV
อุปกรณ์
• กล่องอินเทอร์เน็ตทีวี ที่เชื่อมต่อกับสายไฮสปีดอินเทอร์เน็ต และเชื่อมต่อกับเครื่องทีวี ให้บริการบนคลาวด์คอมพิวติ้ง
• ความเร็วอินเทอร์เน็ตขั้นตํ่า 700 KB ก็สามารถดูได้ แต่อยากให้คมชัด เร็วขึ้นควรจะเร็วหลาย ๆ เมกะบิต
รายการ
• รวมรายการรีรันของฟรีทีวี ผู้ผลิตรายย่อย เว็บทีวี และอื่น ๆ
ค่าใช้จ่ายของผู้ชม
• ค่าบริการไฮสปีดอินเทอร์เน็ตที่ผู้ชมเป็นสมาชิกอยู่แล้ว
• ค่ากล่องอินเทอร์เน็ตทีวีในหลักพันบาทขึ้นไป
• รายการมีทั้งฟรีและเก็บค่าบริการที่คิดแบบเหมาจ่าย

นสพ.คอม - ผ้าไหมไทยกระหึ่มอิตาลี

นสพ.คอม - ผ้าไหมไทยกระหึ่มอิตาลี

ผ้าไหมไทยกระหึ่มอิตาลี

วันศุกร์ ที่ 24 มิถุนายน 2554 เวลา 9:22 น
Bookmark and Share
เนื้อหาข่าว

นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับและสินค้าแฟชั่นแบรนด์ดังของอิตาลียี่ห้อ “บูล การี” ได้สนใจซื้อผ้าไหมยกดอกลำพูนของไทย และผ้าไหมไทยอีกหนึ่งชนิด ที่ได้รับเครื่องหมายรับรองนกยูงทอง ของพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อผลิตเป็นสินค้าแบรนด์เนม ของ บูลการี

ทั้งนี้การสั่งซื้อสินค้าผ้าไหมไทยเกิดขึ้นระหว่างที่กรมฯ ได้เดินทางเยือนอิตาลี เพื่อหารือกับสมาคมสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของอิตาลี ภาคเอกชนสาขาอัญมณีและเครื่องประดับ และสิ่งทอของอิตาลี เพื่อส่งเสริมนำสินค้าภูมิปัญญาไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก

“การเดินทางครั้งนี้เป็นการจับคู่สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ซึ่งบูลการีสนใจผ้าไหมไทยมาก โดยเฉพาะผ้าไหมยกดอกจากลำพูน ที่มีความสวยงาม แปลกตา และหรูหรา เพื่อนำไปทำเป็นผ้าพันคอขายทั่วโลก และได้สั่งให้ไทยทำผ้าไหมอื่นพร้อมราคาเสนอไปให้พิจารณาเพิ่มอีกด้วย”

ทั้งนี้ถือเป็นการยกระดับผ้าไหมไทยให้ชาวโลกได้รู้จัก และเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งของผ้าไหมที่ทำจากภูมิปัญญาไทย จากก่อนหน้านี้ ไทยได้จับคู่ผ้าไหมยกดอกลำพูน กับแชมเปญของฝรั่งเศส เพื่อทำตลาดร่วมกันมาแล้ว นอกจากนี้ อิตาลียังสนใจจับคู่ข้าวไทย กับน้ำมันมะกอก เพื่อทำการตลาดร่วมกันในอียู ซึ่งจะเป็นการขยายตลาดสินค้าไทยในอียูให้กว้างขวางขึ้น

นางปัจฉิมา กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 12-19 มิ.ย. ยังได้นำคณะผู้แทนกรมทรัพย์สินทางปัญญา และภาคเอกชนไทย ไปร่วมงานนิทรรศการการอนุญาตให้ใช้สิทธิระหว่างประเทศ ที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยนำสินค้าแบรนด์ของตัวเองไปเปิดทางสู่ธุรกิจใหม่ ๆ โดยการขอใบอนุญาตใช้โลโก้ของแบรนด์อื่นบนสินค้าของตัวเอง

สำหรับสินค้าไทยที่ต่างชาติสนใจซื้อสิทธิ เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากข้าวกล้องงอกอินทรีย์ ซึ่งสหรัฐ สนใจร่วมทำผลิตสินค้า และขายในตลาดอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก สินค้าผ้าไหม ที่สหรัฐสนใจสั่งซื้อเดือนละประมาณ 10,000 หลา หรือประมาณ 28 ล้านบาทต่อปี รวมถึงตัวการ์ตูนอุลตราแมน และบัดดี้ บันนี่ ที่ถูกซื้อสิทธินำไปผลิตเป็นสินค้าในหลายประเทศ รวมถึงส่งออกไป เกาหลี และญี่ปุ่น

ส่วนความคืบหน้าด้านการปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ล่าสุดการประชุมคณะทำงานสืบสวนและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ที่มี พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นประธาน ได้มอบหมายให้ทุกกองบัญชาการของ สตช. กวดขันปราบปรามการละเมิดในพื้นที่สีแดง ที่มีการละเมิดมาก ทั้งพันธุ์ทิพย์ คลองถม สะพานเหล็ก ฯลฯ และตรวจสอบเชิงลึก เพื่อขยายผลเพื่อจับกุมแหล่งผลิต ผู้ค้าส่งขนาดใหญ่ และที่สำคัญให้กวดขันไม่ให้มีการละเมิดหนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาค 3-4 รวมถึงกวดขันจับกุมในพื้นที่ตามแนวชายแดนที่เป็นช่องทางนำเข้า ส่งออกสินค้าละเมิด ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ และพื้นที่ลำเลียงด้วย

“ขณะนี้ได้รับรายงานว่า กลุ่มผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ได้ปรับเปลี่ยนเส้นทางลำเลียงสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์จากต่างแดนเข้ามา จากเดิมใช้ท่าเรือเป็นทางผ่าน มาเป็นลักลอบนำเข้าตามชายแดนต่าง ๆ ทำให้การจับกุมลำบากขึ้น นอกจากนี้ยังพบการลักลอบขายตามอินเทอร์เน็ต ทั้งการดาวน์โหลด หรือการสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น และใช้การส่งสินค้าโดยพัสดุไปรษณีย์ แทน ทำให้การจับกุมยากขึ้น ดังนั้น คณะทำงานสืบสวนฯ จะเร่งปรับรูปแบบการปราบปราม และร่วมมือกับหลาย ๆ หน่วยงานในการทำงานเพิ่มขึ้น”.

Thursday 23 June 2011

SMEs - Manager Online - 'Qualy' ยกดีไซน์ปรับภาพลักษณ์ โรงงานพลาสติกอิงกระแสโลกร้อน

SMEs - Manager Online - 'Qualy' ยกดีไซน์ปรับภาพลักษณ์ โรงงานพลาสติกอิงกระแสโลกร้อน

'Qualy' ยกดีไซน์ปรับภาพลักษณ์ โรงงานพลาสติกอิงกระแสโลกร้อน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มิถุนายน 2554 07:40 น.
Flip cup ออกแบบแก้วน้ำที่ใช้ในห้องน้ำ เมื่อควำอากาศเข้าไปทำให้ไม่ชื้น
จากภาวะโลกร้อน ที่มาของภัยพิบัติร้ายแรงที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ทำให้ทั่วโลกต่างตื่นตัว และให้ความสำคัญ โดยหันมาเลือกใช้สินค้าที่จะไม่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์สินค้าทำจากพลาสติก เป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้บริโภคมองว่าเป็นส่วนที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้น ผู้ผลิตจำเป็นต้องหันมาปรับตัว เพื่อให้สามารถขายได้ภาวะที่กระแสความต้องการสินค้าโลกร้อนกำลังมาแรงเช่นนี้

ครั้งนี้ มีตัวอย่างของผู้ประกอบการโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกของคนไทย ที่สามารถปรับตัวและผลิตสินค้าให้เข้ากับกระแสลดโลกร้อนได้เป็นอย่างดี ด้วยผลิตภัณฑ์พลาสติกของโรงงาน ที่สำคัญตลาดทั่วโลกกว่า 40 ประเทศให้การยอมรับ และยินดีที่จะซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติก แม้ว่าความต้องการของสินค้าลดโลกร้อนจะมาแรงก็ตาม

Power Plant ออกแบบที่แขวนปลั๊กไฟ
นายธีรชัย ศุภเมธีกุลวัฒน์ เจ้าของหนุ่มไฟแรงทายาทรุ่นที่ 2 เล่าว่า เดิมครอบครัวทำโรงงานผลิตชิ้นงานพลาสติก ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ผลิตภัณฑ์หลักของโรงงานคือ การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ แต่เนื่องจากผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้กระแสของสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับกระแสลดโลกร้อนมาแรงมาก ในขณะที่เราผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่ากระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น หลังจากที่ผมเข้ามารับหน้าที่ดูแลงานต่อจากครอบครัว จึงจำเป็นต้องหาแนวทางที่จะทำให้สินค้าพลาสติกของเราเดินต่อไปได้ ในแนวทางเดียวกับความต้องการของตลาด ทั่วโลก

นายธีรชัย ศุภเมธีกุลวัฒน์ เจ้าของผลงาน
โดยนำเรื่องของงานดีไซน์ที่ใช้แนวคิดของกระแสการลดโลกร้อนเข้ามาใช้กับการผลิตสินค้าของโรงงาน ซึ่งรูปแบบของสินค้าเน้นฟังก์ชันการใช้งาน ในชีวิตประจำวัน อาทิ กล่องใส่กระดาษทิชชู ใช้ชื่อว่า LOG’N ROLL เป็นกล่องกระดาษทิชชูที่ออกแบบเลียนแบบท่อนไม้ และมีสัตว์ที่เหมือนโผล่ออกมาจากโพรงไม้ และเมื่อกระดาษหมดสัตว์ก็จะหายไป เตือนว่ากระดาษทำจากต้นไม้ เมื่อตัดต้นไม้หมด สัตว์ก็หมดไปด้วย ให้รู้จักใช้อย่างประหยัด จะได้ไม่ต้องตัดไม้จนหมดป่า ราคา 1,200 บาท

กล่องทิชชู เตือนระวังเรื่องการใช้กระดาษเพื่อลดการตัดไม้
นอกจากนี้ มีผลงานที่ใช้ชื่อว่า POWER PLANT เป็นที่เก็บปลั๊กไฟ เมื่อถอดปลั๊กไฟของเครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้าออกนำมาม้วนแขวนไว้ที่ POWER PLANT ต้นไม้จะโผล่ออกมา เป็นการลดการใช้กระแสไฟช่วยลดภาวะโลกร้อนได้เช่นกัน ราคา 320 บาท และยังมีผลงานการออกแบบที่ใส่น้ำแข็ง มีชื่อว่า POLAR ICE BUCKET ออกแบบถังใส่น้ำแข็งเป็น 2 ชั้นเก็บความเย็นได้นานขึ้น และชั้นภายในจะเจาะรูให้น้ำแข็งที่ละลายไหลลงมา โดยภายในทำเป็นรูปหมีขั้วโลก เมื่อน้ำไหลลงมามากหมีจะลอย เปรียบเทียบให้เห็นว่า เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมีก็จะไม่มีที่อยู่ ราคา 1,200 บาท

กล่องใส่น้ำแข็ง ระวังเรื่องโลกร้อนทำน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
ทั้งนี้ ยังมีชิ้นงานอีกหลายชิ้น แต่ละชิ้นไม่ได้เน้นฟังก์ชันการใช้ หรือ เรื่องของกระแสลดโลกร้อน เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของการดิสเพลท์ เพราะไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไป เวลาซื้อของใช้ ก็ต้องการให้สามารถเป็นของแต่งบ้านได้ และที่สำคัญช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน อาทิ ผลงานการออกแบบที่ใส่อาหารสุนัขและแมว ที่มีชื่อว่า PUPP&KITT โดยออกแบบให้เป็นทั้งจานใส่อาหารและที่เก็บอาหารสุนัข แมว ได้ในชิ้นเดียว และที่สำคัญยังตั้งโชว์ได้ ทำให้เลือกวางที่ไว้มุมไหนของบ้านก็ดูดีได้ ราคา 1,480 บาท

ที่ใส่อาหารสุนัขและแมว เป็นของใช้และเฟอร์นิเจอร์
สำหรับผลงานการออกแบบของทางคุณธีรชัย นั้นมีให้เลือกมากกว่า 100 ชิ้น โดยทุกชิ้นยึดคอนเซ็ปต์ Living with style คือ การแต่งบ้านแบบใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ ซึ่งหลังจากที่ทางโรงงานได้เปิดตัวสินค้าในหมวดของงานดีไซน์ออกมานั้น ได้ทำไปควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์ ที่มีชื่อว่า Qualy ซึ่งเปิดตัวภายใต้ชื่อบริษัท New Arriva จำกัด เมื่อปี 2005

พวงกุญแจนก พร้อมที่แขวนบ้านนก
นายธีรชัย เล่าว่า การเปิดตัวสินค้าแนวดีไซน์ของทางบริษัท ในช่วงนั้น ได้รับการตอบรับจากลูกค้าในต่างประเทศ ค่อนข้างดีมาก ซึ่งมาจนถึงปัจจุบัน มีลูกค้าจากทั่วโลกถึง 45 ประเทศให้การยอมรับ ที่สำคัญจากเดิมลูกค้าต่างประเทศจะไม่เปิดรับแนวคิดสินค้าที่มาจากประเทศไทย แต่พอเราเริ่มเข้าไปทำตลาดพร้อมกับผลงานดีไซน์ของผู้ประกอบการไทยอีก หลายรายในระยะหลัง จะเห็นว่าทุกคนให้การยอมรับแนวคิดการออกแบบสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้นกว่าในอดีตมาก ทำให้วันนี้ จากโรงงานที่รับจ้างผลิตตามแบบหรือ OEM เราสามารถยกระดับขึ้นมาเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ และมีแบรนด์เป็นของตัวเอง ที่สำคัญสามารถกำหนดราคาสินค้าของเราเองได้

โดยที่ผ่านมา ได้สร้างมาตรฐานงานออกแบบสินค้าของเราในหลายเวทีการประกวด เพื่อเป็นใบเบิกทาง และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค ล่าสุด ได้รับการคัดเลือกในการประกวด สินค้าไทยที่มีการออกแบบดีประจำปี 2554 หรือ Design Excellent Award 2011 (DEmark 2011) และมีอีกหลายรางวัลในต่างประเทศที่เราส่งผลงานการประกวดและได้รับรางวัล ซึ่งรางวัลต่างๆ ช่วยเราได้มากในเรื่องของการทำตลาดในต่างประเทศ

พวงกุญแจ
สำหรับ ลูกค้าของ Qualy จะเป็นลูกค้าผู้หญิง เป็นแม่บ้านทันสมัย คนรุ่นใหม่อายุ 20 -40 ปี อย่างถังขยะ ใช้แบบธรรมดาก็ได้ แต่ถ้าใช้ของ Qualy ก็จะกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นหนึ่ง ส่วนการทำตลาดในต่างประเทศ เริ่มจากการไปเดินงานแฟร์ในต่างประเทศเพื่อดูเทรนด์โลกข้างนอกเขาทำอะไรบ้าง ไปดูก็เห็นภาพใหญ่คราวๆ จึงตกลงว่าเราจะทำงานดีไซน์ เป็นงานที่ไม่เหมือนใคร โดยที่เริ่มทำตลาดนิช (Niche Market) ก่อน เพราะเป็นบริษัทเล็กๆ ถ้าทำตลาดแมส ต้องมีโกดังที่ใหญ่ขึ้น ต้องมีคนมากขึ้น สินค้ามีวางขาย ที่ร้าน LOFT และ ที่ CDC

โทร.02-292-2075, www.qualydesign.com

Monday 20 June 2011

Online Consumer Journey ภารกิจตามหา Like-Love-Share



Online Consumer Journey ภารกิจตามหา Like-Love-Share
สุกรี แมนชัยนิมิต Positioning Magazine 9 มิถุนายน 2554 Print

0 Comments • Share on Facebook • Email this • View CC license • Subscribe to this feed
Added on: 9/6/2554
Online Consumer Journey ภารกิจตามหา Like-Love-Share

ยุคนี้หมดข้อสงสัยแล้วสำหรับความแรงของโซเชี่ยลมีเดีย แต่การบ้านที่กำลังตามมาสำหรับนักการตลาด คือ จะทำอย่างไรที่จะแปรความแรงนั้นให้กลายเป็นพลังเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้ เพราะไม่เพียงประชากรในโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นตลอดเวลาเท่านั้น แต่เวลาที่ใช้ ทั้งเล่น Facebook เข้า Twitter ดูข้อมูลข่าวสารก็นานขึ้นเรื่อยๆ จนการตัดสินใจซื้อของบริโภคไม่ได้อยู่บนเส้นทางเดิมที่นักการตลาดคุ้นเคยอีกต่อไป

Online Consumer Journey คือเส้นทางของผู้บริโภคที่นักโฆษณานักการตลาด และนักวางแผนการใช้สื่อยุคนี้ต้องตามให้ติด และทำความเข้าใจให้ได้ว่าการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบันมีผลจากออนไลน์มากขึ้นทุกที โดยเฉพาะโซเชี่ยลมีเดีย และไม่เพียงการตัดสินใจซื้อเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อผู้ซื้อคนอื่นอีกด้วย ดังนั้นการคิดของแบรนด์จึงไม่เพียงแค่ทำให้แบรนด์น่าสนใจ เตะตาผู้บริโภค จนเกิดการซื้อแล้วจบเท่านั้น สิ่งที่ต้องออกแรงทำเพิ่มคือต้องทำให้เกิดการบอกต่อในทางที่ดีต่อแบรนด์และสินค้าให้ได้

"พรรณี ชัยกุล" ประธานกลุ่มบริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ ประเทศไทย จำกัด และกรรมการผู้จัดการโอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด อธิบายให้ภาพอย่างชัดเจนว่าจากอิทธิพลของโซเชี่ยลมีเดีย ทำให้การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคต่างจากเดิม คือ เดิมแค่รู้จักสินค้า พิจารณาว่าจะซื้อหรือไม่ ได้ทดลอง ซื้อแล้วชอบ เพียงแค่นั้น แต่ในยุคปัจจุบันประโยชน์ของโซเชี่ยลมีเดียคือต้องทำให้ผู้ซื้อแชร์ข้อมูลความประทับใจเกี่ยวกับสินค้า หรือแบรนด์ ซึ่งสามารถสร้างอิทธิพลต่อคนอื่น และเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ แต่แน่นอนในทางกลับกันแบรนด์อาจจะดับได้เพราะโซเชี่ยลมีเดีย หากแบรนด์มีเรื่องเสียหาย

"ทิวา ยอร์ค" ผู้อำนวยการ แพลตฟอร์ม บริษัทออมนิคอม มีเดีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้บริโภคกลายเป็นผู้บอกต่อแบรนด์ สิ่งที่ได้คือความน่าเชื่อถือ มีบทบาทสูงในการสร้างยอดขายและแบรนด์ไม่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อนี้ (Earned Media) ผ่านรูปแบบ เช่น การบอกต่อ การกระพือข่าวต่อ และแพร่กระจาย (Word of mouth/Buzz/Viral) แต่สิ่งที่ท้าทาย คือ สื่อที่ผู้บริโภคบอกต่อนี้ไม่สามารถควบคุมได้ อาจเป็นผลลบต่อแบรนด์หากแบรนด์มีเรื่องเสียหาย ต่างจากสื่อที่แบรนด์ซื้อเอง หรือเป็นเจ้าของ ที่แบรนด์ควบคุมได้ทุกอย่างผลที่ได้จึงต่างกัน

ได้และเสียในสื่อฟรีและจ่ายเงิน
ประเภท ตัวอย่าง บทบาท ผลที่ได้ ความท้าทาย
Owned Media Twitter/ Web/Blog เตรียมเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายระยะยาว คุมได้/บริหารต้นทุนได้/ได้กลุ่มเฉพาะ ไม่รับรองว่าได้ผลดี กลุ่มเป้าหมายอาจไม่เชื่อถือนัก ใช้เวลานาน
Paid Media โฆษณา สปอนเซอร์ สร้างการรับรู้กว้างขึ้น ได้ผลทันที กลุ่มเป้าหมายกว้าง และคุมได้ ความน่าเชื่อถือต่ำ
Earned Media Viral ข้อมูลที่ได้นำมาสู่การปรับใช้สื่ออื่นได้ดี น่าเชื่อถือ ทำให้เกิดยอดขายได้ง่าย สดใหม่ คุมไม่ได้ และเกิดผลลบต่อแบรนด์

คอนเทนต์ต้องดีพอที่จะแชร์
เมื่อรู้ถึงเส้นทางของผู้บริโภคในโลกออนไลน์แล้ว สิ่งที่แบรนด์ต้องพยายามเข้าให้ถึงคือขั้นต่อไป ปัจจัยความสำเร็จหนึ่งที่ต้องมีอย่างยิ่ง คือ การสร้างเนื้อหา หรือ Content ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย

"สุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล" Strategic Marketing Direcctor บริษัท แบรนด์เบคเกอร์ เล่าถึง 6 เทคนิคการสร้าง Content Markting ที่ดีในสื่อดิจิตอล ที่ควรอยู่ในหลักของคอนเทนต์ที่เจ๋ง มีคุณค่า เกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภค และที่สำคัญคือเกี่ยวข้องกับแบรนด์ด้วย ดังนี้

1. เป้าหมายของการมีคอนเทนต์ ตอบให้ได้ว่ามีคอนเทนต์เพื่ออะไร เช่น เพื่อสร้างแบรนด์ โปรโมชั่น เปิดตัวสินค้า หรือแนะนำข้อมูลสำหรับลูกค้า และกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร อยู่ที่ไหน และเขาสนใจอะไร

2. ประเภทของคอนเทนต์ เน้นเรื่องข้อมูล การให้คุณค่าแก่กลุ่มเป้าหมาย หรือดึงอารมณ์ร่วมจากกลุ่มเป้าหมาย เช่น อาจมีเนื้อหาที่คาดไม่ถึง ความบันเทิง มีความพิเศษที่ไม่ใช่ทุกคนได้ดู เรื่องลับยังไม่เป็นที่เปิดเผย

3. เครื่องมือที่ใช้ เช่น มีข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอหรืออินเตอร์แอคทีฟด้วย

4. ปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จต้องคำนึงถึง
• การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Relevance) ที่เข้าถึง Consumer Insight และเกี่ยวข้องกับแบรนด์
• มีคุณค่า (Valuable) เป็นคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายได้แล้วรู้สึกดีว่าได้ดู และอยากแชร์ให้เพื่อน
• การเผยแพร่ต่อได้ง่าย (Sociable) การสร้างคอนเทนต์ต้องคำนึงว่าแชร์ได้ง่าย

5. คอนเทนต์ต้องอยู่ในจุดที่สะดุดตา เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นได้ง่าย

6. สุดท้ายคือการวัดผล ว่าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนเท่าไหร่ การมีส่วนร่วม การส่งต่อ

กรณีศึกษา : การตลาดบนโซเชี่ยลมีเดีย
มีกรณีศึกษาจากแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์การตลาด และการประชาสัมพันธ์ ผ่านโซเชี่ยลมีเดีย จาก "เจอรามี อี. พลอตนิค" Director บริษัท Aziam Burson-Marsteller ที่ทำให้เห็นว่าหากรู้ว่าผู้บริโภคอยู่ตรงไหน นำเสนอได้ถูกเวลา และถูกวิธี ก็บรรลุเป้าหมายได้ไม่ยาก ดังนี้

แบรนด์ : Ponds Age Miracle (ยูนิลีเวอร์ จีน ปี 2552)
เป้าหมาย หลังจากทำตลาดผ่านสื่อดั้งเดิมมาประมาณ 1 ปีในจีน ก็ถึงเวลาอยากให้เกิดกระแสของผลิตภัณฑ์มากขึ้น จึงมีการใช้สื่อ "บล็อกเกอร์" แทนการโฆษณาแบบเดิม
วิธีการ ให้บล็อกเกอร์หญิง 150 คน ทดสอบผลิตภัณฑ์โดยไม่รู้ว่าเป็นแบรนด์ใด
ผล มีการโพสต์ข้อความทางบวก และ 9 ใน 10 คนเป็นเหมือนแบรนด์แอมบาสเดอร์ พูดถึงให้ต่อเนื่องโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
การขยายผล มีการใช้ Facebook เสริมสื่อดั้งเดิม นอกจากจีนยังมีในประเทศอื่นเช่นอินโดนีเซียที่ใช้ในการจัดอีเวนต์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

แบรนด์ J&J Acuvue-Wink (จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ออสเตรเลีย)
เป้าหมาย สร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ดึงส่วนแบ่งตลาดคืนหลังจากเสียส่วนแบ่งตลาดจนกลายเป็นเบอร์ 2
วิธีการ ใช้สื่อโฆษณาสิ่งพิมพ์ กระบวนการประชาสัมพันธ์ และ Facebook Application ที่เรียกว่า "Acuvue Wink" แล้วให้แชร์ให้เพื่อนดู
ผล จากเป้าหมายมีคนร่วมเล่น 100,000 กลายเป็น 500,000 คน และยอดขายเพิ่มขึ้น 17%

บทสรุปของกลยุทธ์การใช้โซเชี่ยลมีเดียในการทำตลาดและการประชาสัมพันธ์นั้น "เจอรามี" แนะนำว่าควรเชื่อมโยงกับสื่อดั้งเดิมเพื่อดึงบางกลุ่มให้เข้าถึงสื่อในโซเชี่ยลมีเดีย และสื่อที่ควรใช้คือ Facebook /Blogs/ Micro Blog/ Viedo Sharing แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ประเภทของแคมเปญ กลุ่มเป้าหมายและศักยภาพที่มี และที่สำคัญไม่มีสูตรตายตัวที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ แต่ความสร้างสรรค์คือสิ่งที่ทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอนที่สุด

กรณีศึกษา - Twitter Success Story
ในโลกของโซเชี่ยลมีเดีย อย่างเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook หลายคนอาจคุ้นเคยกับข้อมูลเรื่องการสร้างเพจเพื่อหาแฟนมาคลิก Like ส่วน Twitter อาจยังเป็นสื่อที่หลายแบรนด์มองหาโอกาสอยู่

"Twitter แค่ 140 ตัวอักษรแต่พลังมหาศาล กระจายข้อมูลข่าวสารได้เร็ว ไม่ใช่แค่เป็นชั่วโมง หรือนาที แต่เร็วเป็นวินาที และถึงผู้คนจำนวนมากแบบแรงกระเพื่อมที่ส่งไปได้อย่างทั่วถึง ด้วยปัจจัยสนับสนุนคือ สื่อกระแสหลักอย่างนักข่าวได้มอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวต่างๆ จาก Twitter และนำเสนอผ่านสื่อหลักที่เข้าถึงผู้ชมส่วนใหญ่" คือสื่อที่สั้นกระชับแต่มีพลังที่ "พีรัชญาณ์ สิงหศิวานนท์" กรรมการผู้จัดการ บริษัทโธธ มีเดีย จำกัด นำเสนอผ่าน 2 กรณีศึกษาของต่างประเทศ และ 1 กรณีศึกษาในไทยที่น่าสนใจ ดังนี้

แบรนด์ Levi
ชื่อแคมเปญ Levi’s Ispy (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปี 2552)
เป้าหมาย สร้างการรับรู้ จดจำแบรนด์ เน้นกลุ่มวัยรุ่น และที่สำคัญต้องการ Talk of the Town
รายละเอียด เล่นเกมเหมือน catch me if you can โดยใช้สมาร์ทโฟน และออนไลน์เป็นเครื่องมือ โดยให้คนของ Levi ไปยืนในอยู่กลางเมืองหลัก แล้ว Tweet ภาพที่เขาอยู่ ถ้าใครเจอก่อน ก็ได้กางเกงยีนส์ไปเลย
ผล 6 สัปดาห์แรกแจกไปแล้ว 100 กว่าตัว มีคนพูดถึงกันมาก และมีคนตามในทวิตเตอร์กว่า 3 แสนคน

แบรนด์ KLM
ชื่อแคมเปญ KLM Surprise (พฤศจิกายน 2553)
เป้าหมาย ดูแลลูกค้าสัมพันธ์ และสร้างความภักดีต่อแบรนด์
รายละเอียด เมื่อลูกค้าที่เช็คอินและรอขึ้นเครื่อง หากลูกค้านั่งรอเวลาแล้วเช็กอินผ่าน Foursquare หรือ Twitter พนักงานของ KLM จะไปหาและมอบของที่ขวัญให้ ซึ่งของขวัญนี้ KLM ได้ทำการบ้าน โดยหาข้อมูลจากโซเชี่ยลมีเดียที่ลูกค้าใช้มาด้วยว่าลูกค้าคนนี้ชอบของประเภทใด
ผล มีลูกค้า 40 คนที่ได้ความประทับนี้ และถูกพูดถึงต่อไปถึง 1 ล้านข้อความผ่าน Twitter ใน 88 ประเทศ

อีเวนต์ DevFest Bangkok 2010
โจทย์ ให้คนเข้าร่วมงานจำนวนมาก
รายละเอียด เป็นงานสัมมนานักพัฒนาที่มีวิทยากรที่มาจากสำนักงานใหญ่กูเกิล เมาท์เทนท์วิว สหรัฐอเมริกา
วิธีการโปรโมต เบื้องต้นส่งข้อมูลผ่านTwitter ของผู้บริหารกูเกิลในไทยคือ @TonAwe (พรทิพย์ กองชุน) เครื่องมือการถ่ายทอดสดผ่านอินเทอร์เน็ต
ผล • 400 คนเข้าร่วมในพื้นที่สัมมนา
• 1,600 คนดูถ่ายทอดสดที่บ้าน
• เข้าถึงกลุ่มคนมากกว่า 280,000 คน จาก 2,700 ข้อความที่ถูก Tweet จาก 770 คน

สรุป
สิ่งที่ควรทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
1. เคลียร์เป้าหมายที่อยากได้ให้ชัดเจน
2. หาวิธีการที่ได้แน่นอน
3. เตรียมเครื่องมือการวัดผล
4. โปรโมตด้วยวิธีการที่ถูกต้องและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
สิ่งที่ไม่ควรทำ
1. อย่าทำแคมเปญที่ไปรบกวนชุมชนออนไลน์
2. อย่าให้ข้อมูลผิดๆ
3. อย่า Tweet มากจนเข่าข่ายขายจนเกินไป
4. อย่าโปรโมตสินค้าของคุณแบบเดียวกับที่ทำในออฟไลน์

Thursday 16 June 2011

พลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist

พลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist

Wongchot Fac รับผลิต กล่องพระ ไม้สัก กล่ององค์จตุคาม

Wongchot Fac รับผลิต กล่องพระ ไม้สัก กล่ององค์จตุคาม

ชมรมพระเครื่องท่าพระจันทร์

พระเครื่อง บริหารโดย ชมรมพระเครื่องท่าพระจันทร์

บล็อค ข้อมูลพระเครื่อง เพื่อการศึกษา

พระกริ่งปวเรศ รุ่น 1 พ.ศ.2404 - พ.ศ.2434

แหวนกลไก แหวนถอดประกอบได้ หนึ่งเดียวในไทย ที่เดียวในโลก

แหวนกลไก แหวนถอดประกอบได้ หนึ่งเดียวในไทย ที่เดียวในโลก

แหวนกลไก แหวนถอดประกอบได้ หนึ่งเดียวในไทย ที่เดียวในโลก

แหวนกลไก แหวนถอดประกอบได้ หนึ่งเดียวในไทย ที่เดียวในโลก
ปกติหากเราเห็นแหวนทั่วไปก็จะเป็นแหวานวงๆ ธรรมดาๆ ทำจากทอง เงินบ้าง แต่วันนี้หมูหินไปเจอแหวนที่สามารถถอดประกอบได้ที่จังหวัดจันทบุรี คนพื้นที่เรียกแหวนถอดประกอบได้นี้ว่า "แหวนกลไก" นับว่าเป็นที่เดียวในประเทศไทย หนึ่งเดียวในโลก แหวนชนิดนี้เคยไปแสดงงานส่งออก ฝรั่งเห็นเข้าก็ร้องอู้ฮูๆๆๆๆ "โอ้ยูทามด้ายยางรายกาน" หมูหินพามารู้จักแหวนนี้ไห้มากขึ้นตามเรามานะครับ

แหวนกลไก หรือเรียกสั่นๆว่าแหวนกล เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเฉพาะครอบครัว เป็นของโบราณที่ปู่ย่าตายายทำกันมาที่จังหวัดจันทบุรี จากนั้นได้สืบทอดเฉพาะลูกหลานตัวเองเท่านั้น ปัจจุบันมีเพียงแค่ร้านเดียวที่ทำแหวนกลแบบนี้ หาที่อื่นไม่มี จังหวัดอื่นก็ไม่มี แหวนกลเป็นแหวนที่สืบทอดการทำให้คนในครอบครัวเท่านั้น

จากการที่ผมได้ไปดูเขาทำแหวนกันช่างฝีมือที่คุมงานหลักที่เป็นแหวนกลนั้น จะเป็นญาติสนิทเท่านั้น ไม่มีคนอื่นที่จะมาคุมได้เนื่องจากอาจเกรงว่าจะนำไปทำเองก็เป็นได้ การทำแหวนกลนั้นทำได้ทั้งจากเงิน ทอง ก็ได้ ผมได้เดินไปชมด้านหลังร้านเขาจะมีช่างฝีมือนั่งทำแหวนที่ร้านเลย ตั้งแต่การขึ้นแบบวง แกะสลักลายต่างๆ การขัดเงา หรืออื่นๆ วันที่ผมไปดูเขาทำงาน ถึงแม้ว่าจะ 2 ทุ่มแล้วแต่ก็มีช่างนั่งทำงานกันอยู่เลยครับ

จากการที่ได้พูดคุยกับเจ้าของทราบว่าทางร้านได้จัดทำเว็บไซต์ใกล้เสร็จแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ ที่สั่งทำครั้งละมากๆ เพื่อไปขายต่อ ทางร้านก็จะจัดทำและส่งไปให้ ส่วนลูกค้าคนไทยก็มีครับ ก็นักท่องเที่ยว ที่ทราบข่าวว่ามีแหวนกลแบบนี้ ก็เดินทางมาเที่ยวชม ซื้อติดไม้ติดนิ้วกลับบ้านไปด้วยครับ

นอกจากแหวนกลจะสามารถถอดประกอบเป็นชิ้นๆได้แล้ว คุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างคือ แต่ละชิ้นที่เป็นส่วนที่ควรเคลื่อนไหวได้ ทางร้านก็จะทำให้เคลื่อนได้ครับ เช่น แหวนกลสุนัข หัวมันจะขยับไปมาได้เมื่อประกอบเป็นแหวนแล้ว จะเห่าได้ อิอิ ไม่ใช่ครับ แค่ขยับหัวได้ครับ แหวนไก่ก็ขยับหัวได้ นี่เจ้าของบอกว่า ของที่โชว์นั้นแค่ธรรมดาๆ ไม่ได้แปลกอะไรมากนัก (ที่แปลกๆขายไปหมดแล้วประมาณนั้น)

"ภูมิปัญญา กลไกปริศนา อัญมณีเครื่องประดับ งานศิลปะจากทองคำ" หลอมรวมกันเป็น "แหวนกล" ที่ได้รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เดิมเป็นแหวนวงเล็กๆ ที่เรียงซ้อนกัน 2 วง ปัจจุบันได้พัฒนาฝีมือให้เหมาะสมกับยุคสมัย แต่ยังคงเอกลักษณ์ช่างทองโบราณ จากแหวนกลปู เป็นแหวนกล 12 ราศี กันแล้วครับ

แหวนปู แหวนปลา เป็นของดีเมืองจันท์ เป็นที่รู้จักและแสวงหากันมากอย่างหนึ่ง ตัวเรือนเป็นรูปปูทะเล พญานาค กุ้ง ท้องวงเป็นวงเรียงกันอยู่เมื่อถอดก้านสี่วง จะคล้องกันอยู่ไม่แยกจากกัน และเมื่อประกอบกันอย่างถูกวิธี แหวนจะมีสี่ด้านเรียงชิดกัน ผู้เป็นเจ้าของต้องรู้วิธีประกอบว่า ต้องจับด้านใดสอดก้านใด ดังนั้นเจ้าของแหวนบางท่านจึงมักให้ช่างทองพันก้านทั้งสี่มิให้หลุดจากรูปเดิม

แหวนกล นอกจากจะเป็นเครื่องประดับที่สวยงามและแปลกแล้ว ยังถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองจันท์ และยังเป็นสิ่งที่ฝึกความจำ ฝึกสมาธิและทำให้ใจเย็น สุขุมรอบคอบ
ปัจจุบันแหวนปูยังคงเป็นหัตถกรรมที่เลื่องชื่อของเมืองจันทบุรี และช่างได้พัฒนารูปแบบโดยนำเอาสัตว์ทะเล เช่น กุ้ง และปลาชนิดต่าง ๆ มาประดิษฐ์ และประดับตกแต่งด้วยพลอยหลากสีอย่างสวยงาม

แหวนกลหรือแหวนกลไกนั้น อนาคตจะเป็นอย่างไร จะสืบทอดไปได้เรื่อยๆ หรือจะหยุดไปที่ทายาทคนได้หรือไม่ ต้องคอยติดตามกันต่อไป แหวนกลไกได้รางวัลเป็นสินค้า OTOP ชั้นยอด มีคนรู้จักไปทั่วโลก หวังว่าจะอยู่คู่ความเป็นไทยตลอดไป หมูหินขอเอาใจช่วยครับ

ปัจจุบันได้ผ่านการคัดสรรเป็นสุดยอดสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย (OTOP) ในประเภทเครื่องประดับที่ทำด้วยมือ นับเป็นภูมิปัญญาที่ต้องใช้ความอดทน เพียรพยายาม ทุกชิ้นงานมีหนึ่งเดียว

ปัจจุบันมีผู้สืบทอดเพียงครัวเดียว คือ
คุณมณฑา - คุณไพโรจน์ ภูมิศักดิ์ (ศิลปิน Otop 2547)
ร้านมฆฑา (ป้าแต๋ว) ด้านข้างที่ทำการเทศบาลตำบลพลิ้ว
64 ม.5 ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี
โทรศัพท์ 0-3939-7017
โทรสาร 0-3934-6305
มือถือ 0-9887-1879

Celeb Online - Manager Online - DMG Books App นวัตกรรมการอ่านบน “แท็บเล็ต”

Celeb Online - Manager Online - DMG Books App นวัตกรรมการอ่านบน “แท็บเล็ต”

DMG Books App นวัตกรรมการอ่านบน “แท็บเล็ต”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มิถุนายน 2554 15:08 น.
ปัจจุบันกระแสของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Book กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นทั่วโลก ซึ่งเว็บไซต์ Amazon.com ผู้ให้บริการด้านการขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต หรือ E-Commerce เผยว่า หลังจากที่จำหน่าย E-Book มาเป็นเวลา 4 ปี ขณะนี้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถทำยอดขายแซงหน้าหนังสือที่ตีพิมพ์ด้วยกระดาษแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา
สำหรับในเมืองไทย แม้อาจจะยังเป็นช่วงเริ่มต้นสำหรับ E-Book ซึ่งตลาดยังเล็กและจำกัดวงอยู่เฉพาะกลุ่ม แต่ก็นับเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง เซ็กเม้นต์ใหม่นี้จึงเป็นช่องทางที่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ iPad ลงมาอยู่ระดับคนทั่วไป จากก่อนหน้านี้ที่จำกัดเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ และมีกำลังซื้อสูง เห็นได้ชัดจากงานคอมมาร์ต ซีมาร์ต 2011 ที่เพิ่งปิดฉากไป ผลปรากฏว่า แท็บเล็ตและ iPad2 ดันยอดขายทะลุเกินเป้ากว่า 1,800 ล้านบาท ด้วยยอดขายและจองในงานเฉียด 10,000 เครื่อง

ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ดังนั้น สนพ.ดีเอ็มจี จึงพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อรองรับการเติบโตของ E-Book โดยที่ผ่านมา สนพ.ได้เปิดให้บริการดาวน์โหลดหนังสือทางเว็บไซต์ www.dmgbooks.com ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อาทิ หนังสือกลยุทธ์น่านน้ำสีขาว (White Ocean Society) ที่มีการดาวน์โหลดสูงถึง 1.4 แสนครั้ง ขณะที่ยอดขายหนังสืออยู่ที่ 50,000 เล่ม สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดมีความต้องการและพร้อมสำหรับเทคโนโลยีใหม่ของโลกแห่งการอ่านแล้ว
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สนพ.ดีเอ็มจี เผยว่า “เมื่อปี 2547 สนพ.ดีเอ็มจี เป็นเจ้าแรกที่เปิดมิติใหม่ให้กับวงการหนังสือธรรมะ จนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับ หนังสือพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมไปถึงหนังสือหมวดบริหารและพัฒนาตนเอง จนถึงขณะนี้ หนังสือหมวดธรรมะและจิตวิทยาของสำนักพิมพ์ ก็สามารถทะยานติดอันดับขายดีแล้วหลายเล่ม
สำหรับ DMG Books App นับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ สนพ.ดีเอ็มจี ก้าวสู่ตลาดก่อนใคร ด้วยการเปิดให้บริการร้านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Publishing เต็มรูปแบบแห่งแรกในเมืองไทย โดยมีโจทย์สำคัญที่ท้าทายคือ การเจาะกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ที่มีพฤติกรรมการอ่านหนังสือน้อยลง แต่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากขึ้น ดังนั้น จึงต้องการขยายฐานผู้อ่านไปยังกลุ่มนี้ด้วย


จุดเด่นของ DMG Books App คือ มีหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รอบแรกที่เปิดให้ดาวน์โหลด มีทั้งสิ้น 40 ปก โดย 3 ปกมีหนังสือเสียง และอีก 24 ปกมีวิดีโอคลิป ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังอาสาเป็นศูนย์กลางการรวบรวมหนังสือธรรมะและคำสอนต่างๆ ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมจากที่ต่างๆ ไว้ใน DMG books App นี้ด้วย
นอกจากนี้ ทาง สนพ. ยังเพิ่ม E-Tipitaka Application พระไตรปิฎกอิเล็กทรอนิกส์พร้อมระบบสืบค้น เพื่อเผยแผ่หลักธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างครบถ้วนสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ซึ่งจัดทำโดย พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ผู้นำการใช้เทคโนโลยีเพื่อเผยแผ่ธรรมะ ตลอดจนหนังสือเสียงที่เพิ่มโอกาสการเข้าถึง สำหรับผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาทางสายตา สามารถใช้งานได้จากสมาร์ทเก็ทเจ็ททุกแพลทฟอร์ม โดยเริ่มทำการตลาดบน iPad ก่อน
ทั้งนี้ DMG Books Application จะเปิดให้บริการทั้งดาวน์โหลดฟรีวันนี้-25 มิ.ย.นี้ หลังจากนั้น บางปกจะจำหน่ายเพื่อนำรายได้ค่าลิขสิทธิ์ทุกเล่มถวายแด่พระอาจารย์ผู้เขียน และมอบให้กับมูลนิธิมายาโคตมี ที่ก่อตั้งขึ้นจากดำริของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการสนับสนุนด้านการศึกษาและจริยธรรมแก่เยาวชนที่ขาดแคลนในชนบท

ทำสบู่สมุนไพร **แบบง่ายๆไม่ต้องใช้สารเคมี**

ทำสบู่สมุนไพร **แบบง่ายๆไม่ต้องใช้สารเคมี**

Five reasons that I want an Hermes Birkin (and five reasons that I don’t) - PurseBlog

Five reasons that I want an Hermes Birkin (and five reasons that I don’t) - PurseBlog

Five reasons that I want an Hermes Birkin (and five reasons that I don’t)
Posted on Jun 15, 2011 by Amanda Mull

Few pieces in fashion cause more chatter or stronger feelings than the iconic Hermes Birkin. The look, the price, the exclusivity – love it or hate it, the bag is an attention-grabber, not to mention a beautiful piece of handbag lore. The smell coming off of a brand new leather Birkin is nearly intoxicating, and for what people pay for those bags, they probably should get you high. It’s only fair.

That being said, I’ve always had slightly mixed feelings about Hermes’s most famous bag when it comes to whether or not I want to own one myself. And as my therapist always says, it’s good to talk these things out, so join me after the jump for my personal list of pros and cons. To Birkin, or not to Birkin? That is the question.

The Pros:

1. The Hermes Birkin is the ultimate handbag. Whether or not you’re a fan of the design, the Birkin has a very special place in the fashion industry that doesn’t appear ready to change any time soon. And handbags are kind of my life at this point (that and Real Housewives, someone pass me a cocktail), so it seems only fitting that I acquire one at some point in the future, right?

2. Birkins come in virtually every leather and color combination imaginable. I’m a big fan of getting exactly what I want as often as possible (and although true, I’m not as insufferable as that makes me sound) and the laundry list of colors, leathers, sizes and hardwares that are available from Hermes appeals to the stickler in me. Forget about waiting until the right season for the right color – if you know who to ask and where to look, you can probably find the Birkin you want right now.

3. A Birkin is neutral, no matter what color it is. Come on, who’s going to question you for carrying Hermes? No one, that’s who. And if someone does, you can just tell yourself that she’s incredibly jealous, which might actually be true. Haters gonna hate, and they’re gonna hate on your bag. But if you spend that much money on something, you have every right to carry it as much or as little as you please. Even if you’re just running to Rite Aid to buy a candy bar and some hand soap.

4. I feel left out. I now live in a neighborhood where it seems like even the homeless people have Birkins and I’m starting to feel entitled to one. Why wasn’t I issued my Birkin upon entering the Upper East Side? Did I slip through a crack of some sort? It was surely a very expensive, well-bred crack, if that’s the case. But now that I’ve figure out that I was overlooked, someone needs to make this up to me. I’m just going to grab the next one that I see. What? That’ll get me arrested? And beaten by the NYPD, in all likelihood? Well then.

5. Take away the name and the prestige, and the Birkin is still a beautiful piece. It wouldn’t command the five-figure price tags if it weren’t. Prestige can get you a lot of places in the fashion industry, but the Birkin wouldn’t have been sustained this long (and Hermes wouldn’t still be growing rapidly year-on-year) if the construction and finishing of the bag weren’t impeccable. Even someone who’s not interested in fashion can look at a Birkin and tell that it’s a special piece. It just has that special aura about it, which is so hard to find in a day and age when nearly every manufacturer has moved to mass production.
The Cons:

1. They cost more than many used cars. As jaded as I am when it comes to prices in the fashion industry, five figures is still quite a strong pill to swallow. With tax, that’s the starting figure for a Birkin big enough to be carried as an everyday bag, and I can think of a lot of other ways to spend ten grand. I’m sure you can too, unless you’re the lucky lady who looks at $10,000 as though it’s pocket change. In that case…would you like to buy me a Birkin?

2. I don’t have much use for bags that sit in the crook of my arm. I already have a Celine Luggage Tote, which I love dearly and carry any time that I feel as though I should look extra fashionable. Other than that, I’m a shoulder bag and crossbody girl, through and through. That’s only been dialed up since I moved to the city and realized that arm-carried bags get heavier and heavier, the further you walk. Birkins are heavy to begin with and only get heavier when filled, so until I’m car-service rich, maybe I should consider an Hermes Jypsiere instead.

3. I’m not really in the Birkin demographic. Although I’ve seen many women my age carrying Birkins and I’m a firm believer that fashion has no age requirement so long as you’re self-confident, I’m not sure that the Birkin really fits my look. I’m more of a slouchy bag person, whereas the Birkin requires a certain sort of buttoned-up sophistication that I’ve yet to adopt. Perhaps if I worked in an office, I’d be ready for a Birkin. Maybe then I’d also have that law degree like my dad always wanted.

4. Everyone has one. Sadly, this con goes hand-in-hand with pro number four. I prefer to be ahead of the curve instead of behind it, and although the Birkin doesn’t really have a curve of which to speak, sometimes I feel as though buying one would be like pledging an exclusive sorority that doesn’t really need or want new members. I only lasted for a month in my actual sorority in college, but thankfully that didn’t cost as much as a Birkin would.

5. I’m a fickle pickle. $10,000 handbags really aren’t a great idea for someone who likes to follow her fashion whims. If I were to spend that much money on a handbag, I would be fresh out of whims for at least a year and probably resent my bag for killing all of my other options.

To me, I think the clear answer is that I don’t need a Birkin for a very, very long time. What about you – could you ever see yourself buying one? Already have a dozen in the closet? Let us know in the comments.

Monday 13 June 2011

HiSo Shopping - Reebonz - Unveil The Surprise

Reebonz - Unveil The Surprise

เพชรเทียม หรือพลอยเทียม

เพชรเทียม หรือพลอยเทียม
เพชรเทียม หรือพลอยเทียม
วันศุกร์ที่ 09 ตุลาคม 2009 เวลา 04:48 นงลักษณ์ เชียงปิว
อีเมล พิมพ์ PDF

รู้จัก...เพชรเทียม หรือพลอยเทียม
เพชรเทียม คือ แร่หรือสารสังเคราะห์ที่ไม่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ เมื่อเจียระไนแล้วมีคุณสมบัติทางด้านแสงคล้ายเพชร นำมาใช้ทำเครื่องประดับเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นเพชรจริง

เพชรเทียมที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมีหลายชนิดจัดแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ

ประเภทที่เป็นพลอยธรรมชาติ เช่น ซัฟไฟร์ขาว เซอร์คอนขาว
ประเภทที่เป็นพลอยสังเคราะห์ เช่น รูไทล์สังเคราะห์ มอยซันไนต์
ประเภทที่เป็นพลอยผลิต เป็นพลอยที่สร้างขึ้นเองโดยไม่มีในธรรมชาติ เช่น แย็ก (YAG) จีจีจี(GGG) ซีแซด (CZ หรือ Cubic Zirconiz ) สตรอนเทียมไททาเนต
ชนิดที่ได้รับความนิยมและครองตลาดมากที่สุดคงเป็น CZ เพราะมีความคล้ายคลึงกับเพชรแท้มากและที่สำคัญคือมีราคาประหยัดกว่าเพชรแท้และเพชรเทียมชนิดอื่นๆหลายเท่าตัว

CZ : Cubic Zirconia (คิวบิก เซอร์โคเนีย) คนไทยเรียกว่า "เพชรรัสเซีย" เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เมื่อคริสต์ศักราช 1976 เป็นเพชรเทียมที่ได้รับความนิยมที่สุด มีค่าดัชนีหักเหน้อยกว่าเพชร แต่การกระจายแสงสูงกว่า ทำให้มีประกายแวววาว เนื่องจากมีความแข็งตามสเกลของโมห์ประมาณ 8 จึงเหมาะที่จะนำมาทำเครื่องประดับ เพราะโอกาสที่จะถูกขูดขีดให้ขุ่นมัวมีน้อย มีความถ่วงจำเพาะมากกว่าเพชร ในขนาด 1 กะรัตเท่ากัน เพชรรัสเซียจะมีขนาดเล็กกว่าเพชรแท้ขนาด 1 กะรัต นอกจากนี้ยังมีราคาถูกกว่าเพชรเทียมชนิดอื่นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน

เพชรรัสเซีย สังเคราะห์มาจากเซอร์โคเนียมไดออกไซด์ (ZrO2) ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ มีผลึกรูปโมโนคลีนิก (Monoclinic) โดยมีแคลเซียมไดออกไซด์ หรือ Yttrium Oxide (Y2O3) ผสมเข้าไปเล็กน้อย เพื่อให้คิวบิกเซอร์โคเนีย เสถียรเป็นผลึกรูปคิวบิก (Cubic) ได้ในอุณหภูมห้อง


มอยซันไนต์ Moissanite เป็นเพชรเทียมที่มีลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับเพชรแท้มากกว่าเพชรเทียมอื่นๆ ราคาขายทั่วไปของมอยซันไนต์เมื่อเทียบกับเพชรแท้ที่มีคุณภาพระดับเดียวกันราคาต่ำกว่าเพชรแท้ประมาณ 5 – 10 เท่าขึ้นอยู่กับขนาดแต่ยังจัดว่าเป็นเพชรเทียมที่มีราคาสูงกว่าเพชรเทียมอื่นๆ มาก

ซัฟไฟร์สีขาว ที่นำมาใช้แทนเพชร ก็เพราะมีความแข็งสูงเป็นอันดับ 9 รองจากความแข็งเพชรเท่านั้น

สำหรับพลอยเซอร์คอนสีขาว แม้จะเป็นพลอยที่มีน้ำหรือประกายคล้ายเพชรมาก แต่ก็เนื้ออ่อนกว่าเพชรมาก

Sunday 12 June 2011

Weekly - Manager Online - ทัวร์สวนผลไม้ ลิ้มรสหวาน จันท์ - ระยอง

Weekly - Manager Online - ทัวร์สวนผลไม้ ลิ้มรสหวาน จันท์ - ระยอง
ทัวร์สวนผลไม้ ลิ้มรสหวาน "จันท์ - ระยอง"
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 10 มิถุนายน 2554 10:36 น.
Destination
เรื่อง/ภาพ นพพร ยรรยง

จะมีสักกี่ประเทศในโลกกันเล่าที่เพียบพร้อมไปด้วยอาหารการกินตลอดทั้งปีอย่างบ้านเรา แม้วันนี้คำว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ดูจะตามหายากขึ้นทุกที แต่ไม่ห่างจากใจกลางกรุง กลับยังพบร่องรอยของวันวาน กลิ่นอายจากความเรียบง่ายอันอุดมไปด้วยความหอมหวานจากผลไม้นานาพันธุ์ ซึ่งกลิ่นหอมรัญจวนใจนี้เอง ที่นำพาคอลัมน์ Destination มาพบกับเมืองในฝัน สวรรค์ของผลไม้

จากข้อความด้านบน ผู้อ่านบางท่านคงพอเดากันออกบ้างแล้ว ว่าสุดสัปดาห์นี้เราจะไปลงเอยหย่อนกายกันที่ใด เพราะหากเอ่ยถึง เมืองผลไม้ในเมืองไทย ที่ไม่ไกลกรุงคงหนีไม่พ้น ระยองกับจันทบุรี ถูกต้องนะครับ! สองเมืองนี้คือปลายทางในสุดสัปดาห์ของเรา

โดยการเดินทางหนนี้ เรามีโอกาสร่วมทางไปกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อไปดูการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน บนความเรียบง่ายที่มีมาตรฐาน หลังผ่านสายฝนจากเมืองกรุงมาได้พักใหญ่ คาราวานของเราก็มุ่งหน้ามาถึงยังปลายทางแรก จ.จันทบุรี กลิ่นไอดินโชยเข้ามาทันทีที่ประตูรถเปิดออกกลางสวนผลไม้ ในบ้านเขาบายศรี หมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งแฝงตัวอยู่หลังแมกไม้นานาพันธุ์

หมุดหมายของคนเมือง คือการเดินชมสวนผลไม้ 100 ปี ซึ่งประกอบด้วย 6 สวน โดยคาดว่าจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ แต่หากมีใครหลงรสชาติของผลไม้ในสวน ผมคิดว่าเวลาเพียงเท่านี้คงไม่พอ

สวนผลไม้ 100 ปีนี้ เปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาของปราชญ์ในยุคก่อน เพราะสวนเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่นี้ อาศัยน้ำที่ได้จากการขุดอุโมงค์ใต้ดินซึ่งขุดไว้เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ตลอดปี โดยมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ที่เวียดกงใช้ซ่อนตัวระหว่างรบกับทหารอเมริกันสมัยสงครามเวียดนาม คืออุโมงค์จะเชื่อมโยงถึงกันหมดเต็มพื้นที่และมีความสลับซับซ้อน

พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าบ้านที่เต็มใจต้อนรับด้วย น้ำใบเตยหอมหวาน ตามด้วยผลไม้นานาชนิดที่ยั่วยวนสายตาให้ลองชิมเหลือเกิน แต่เหนืออื่นใดคือรอยยิ้มและคำทักทาย จากสำเนียงชาวจันทบุรีที่ไร้จริต แต่จริงใจโดยเนื้อแท้

สิ่งแรกที่ควรทำก่อนการเดินชิม และชมสวนผลไม้คราวนี้คือ การทายากันยุงกันไว้ก่อน เพราะแว่วมาว่ายุงชุมมาก และยุงมักชอบขบผิวชาวกรุงเสียด้วย ทุเรียนกลายเป็นผลไม้คำแรกที่ถูกป้อนเข้าปากหลังเดินเข้าสวน อาจฟังธรรมดา หากแต่ทุเรียนผลนี้ผ่านการเดินทางมากว่า 100 ปี โดยปัจจุบันธรรมชาติสร้างให้มันมีหนามที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าปรกติมาก เผื่อไว้ไม่ให้มันเจ็บตอนร่วงลงมาจากต้นที่สูงหลายสิบเมตร

เสียงเรอ…เอิ๊กอ๊ากกลางสวน พร้อมกลิ่นตลบอบอวลฟุ้งไปทั่วพื้นสวน เหล่านักเดินทางที่เดินชิมโน่นชิมนี่ ทั้งเงาะ มังคุด ชมพู่ แก้วมังกร ฯลฯ เรื่อยมา เพลินตากับสีเขียวและความหวานอร่อยจากผลไม้สดๆ จากต้น

เราเดินกันมาแบบมือไม่ว่างจนถึงปลายทางที่ทุกคนต้องรู้จักนอบน้อมต่อธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะนี่คือสวนสละ หากไปเดินทะเล่อทะล่า ไม่ก้มหัวหรือมองทางให้ดี คุณอาจได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลก่อนจะทันได้ลิ้มลองรสชาติสละ

ก้าวสุดท้ายก่อนออกจากสวน หนังตามันหย่อน หนังท้องมันตึง จนอยากจะนอนซะที่นี่เดี๋ยวนี้เลย แต่วันรุ่งเรายังมีนัดกับอีกหนึ่งสถานที่ จึงจำต้องจากมา เช้าวันใหม่ในจังหวัดระยอง กับการตามหาความเรียบง่ายในชุมชนที่ยังคงวิถีดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น “บ้านจำรุง” เป็นปลายทางในเช้าวันใหม่ที่ผมจะไปเยือน

อาจเกิดคำถามผุดขึ้นมาว่า มาทำไมกัน มันก็แค่หมู่บ้านตามต่างจังหวัด เหมือนกันทุกที่ล่ะ ผมอยากให้คุณเปิดใจแล้วลองมองให้ลึกถึงความเป็นอยู่ในหมู่บ้านนี้ เพราะที่นี่ เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีชุมชนที่แข็งแกร่ง จนเกิดการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยบ้านนอก คอยให้ความรู้แก่ชาวบ้านและคนที่สนใจเรียนรู้

แต่หนึ่งในไฮไลต์ที่ใครมาต้องติดใจ มาแล้วต้องมาอีก คือ โฮมสเตย์ บ้านจำรุง ที่มีคอนเซ็ปต์ว่า เสื่อผืน หมอนใบ มุ้งหนึ่งหลัง กับน้ำใจอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งบางส่วนในคอนเซ็ปต์อาจไม่เหมาะกับคนกรุงรักสบายมากนัก แต่สำหรับขาชอปที่ชื่นชอบงานทำมือกับผลไม้แปรรูป...รับรองไม่ผิดหวัง

สักครั้งหนึ่งถ้าคุณอยากลองสัมผัสห้องนอนในบ้านไม้ แทนห้องนอนคอนกรีต หรือเปลี่ยนห้องสี่เหลี่ยมบนตึกสูง เป็นห้องไม้กว้างโล่ง กับบานหน้าต่างที่ล้อมไปด้วยแมกไม้ เช้ามาฟังเสียงนก ตกเย็นล้อมวงกินข้าว รับรองว่าโฮมสเตย์ที่นี่ไม่ผิดหวังครับ ชีวิตคุณจะดูช้าลงเยอะ ถ้าได้มาลองใช้ชีวิตที่นี่สักหนึ่งวัน

ถ้าวันหยุดหน้า คุณผู้อ่านอยากลองใช้ชีวิตให้ช้าลง และดื่มด่ำกับความเรียบง่ายในรสชาติที่หวานไม่รู้ลืม จากผลไม้สดๆ จากสวน ลองหมุนพวงมาลัยเลี้ยวออกจากเมือง มุ่งหน้ามายังสองจังหวัดนี้ดูครับ

Notebook

สวนผลไม้บ้านเขาใบศรี
ท่องเที่ยวได้ตลอดปี

ช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวชิมผลไม้คือประมาณเดือน พ.ค.-มิ.ย.

ค่าเข้าชมสวนคนละ 99 บาท กินได้ไม่อั้นแต่ห้ามนำออกจากสวน

หากสนใจค้างคืน โฮมสเตย์ที่นี่ คิดราคาหัวละ 250 บาท/คืน พร้อมอาหารเช้า และสามารถชมสวนผลไม้ได้ด้วย สนใจติดต่อโทร.086-834-9604, 083-078-8002

โฮมสเตย์บ้านจำรุง

ท่องเที่ยวได้ตลอดปี
โฮมสเตย์หัวละ 500 บาท กิน นอน ในสวน

กิจกรรมประกอบด้วย เดินชมสวน ดูวิถีชาวบ้าน มีของกิน ของฝากให้เลือกชอป

สนใจติดต่อโทร.087-817-8030

Friday 10 June 2011

PANTIP.COM : I10632906 [นอกเรื่อง] เรียนเชิญคุณ Halogen และสมาชิกท่านอื่นๆที่รู้เรื่องพระเครื่องครับบบบบบบบบ []

PANTIP.COM : I10632906 [นอกเรื่อง] เรียนเชิญคุณ Halogen และสมาชิกท่านอื่นๆที่รู้เรื่องพระเครื่องครับบบบบบบบบ []

***โปรแกรมรวมพระ*** โปรแกรมสำหรับบริหารจัดการพระเครื่องส่วนบุคคล

***โปรแกรมรวมพระ*** โปรแกรมสำหรับบริหารจัดการพระเครื่องส่วนบุคคล


***โปรแกรมรวมพระ*** โปรแกรมสำหรับบริหารจัดการพระเครื่องส่วนบุคคล
« เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 01:41:14 PM ยป


ซื้อครั้งเดียว ไม่มีค่าบริการรายปี ใช้งานได้ไม่จำกัด และได้รับสิทธิ์ในการปรับปรุงโปรแกรมเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ตลอดอายุการลงทะเบียน กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์บริหารจัดการพระเครื่องส่วนบุคคล "โปรแกรมรวมพระ"

**** ช่วงโปรโมชั่น!!!! พบกับโปรแกรมรวมพระในราคาสุดพิเศษ 369 บาท จากราคาปกติ 799 บาท รีบกันหน่อยนะคะ หมดเขต 30 มิถุนายน 2554 นี้เท่านั้น *****

**** ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทฯ และ emailมาที่ sales@softcon.co.th หรือ Fax มาที่ 038-795070 พร้อมแจ้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และรหัสผลิตภัณฑ์ของท่านให้เราทราบ ท่านจะได้รับแจ้งรหัสลงทะเบียนกลับทาง email ค่ะ

------------------------------------------------------------------------------------

หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่นิยมสะสมพระเครื่องพระบูชา มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ในวงการ และกำลังพบปัญหาความยุ่งยากต่อไปนี้

- ไม่ทราบว่าพระเครื่องแต่ละรายการ เช่าพระมาจากใคร เมื่อไหร่ ในราคาเท่าใด
- ไม่ทราบว่าปัจจุบันมีพระประเภทใดบ้าง มูลค่าเท่าใด
- ไม่ทราบว่าพระแต่ละองค์ ปล่อยให้เช่ากับใคร เมื่อใด ในราคาเท่าใด
- ต้องการทราบต้นทุน /กำไร ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนพระเครื่องของท่าน
- พบความยุ่งยากในการเก็บข้อมูลพระเครื่องด้วยการจดลงสมุด

------------------------------------------------------------------------------------

ครั้งแรกในวงการ !!! พบกับมิติใหม่ในการสะสมพระเครื่องของท่าน
โปรแกรมรวมพระ โปรแกรมบริหารจัดการพระเครื่องส่วนบุคคล

โปรแกรมฐานข้อมูลพระเครื่องส่วนบุคคลซึ่งช่วยให้บริหารข้อมูล การสะสม แลกเปลี่ยนพระเครื่องของท่านเป็นเรื่องง่าย ไม่ยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยโปรแกรมส่วนบุคคล ราคาเบาๆ เพียง 369 บาท (จากราคาปกติ 799 บาท) ภายใน 30 มิถุนายน 2554 นี้เท่านั้น
ชำระเงินครั้งเดียว ใช้ได้ตลอดไป ไม่มีค่ารายปี พร้อมรับฟรี!! สิทธิ์การ Download โปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ตลอดอายุการลงทะเบียน !!!

ท่านสามารถ Download โปรแกรมไปทดลองใช้ฟรี!! ที่ http://www.softcon.co.th/?page_id=5

ลงทะเบียนซื้อโปรแกรมวันนี้ ในราคาเพียง 369 บาท (จากปกติราคา 799 บาท) ภายใน 30 มิถุนายน 2554 นี้เท่านั้น
ชำระเงินครั้งเดียว ใช้ได้ตลอดไป ไม่มีค่ารายปี
พร้อมรับฟรี!! สิทธิ์การ Download โปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ตลอดอายุการลงทะเบียน !!!

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ เจ้าหน้าฝ่ายขาย บริษัท ซอฟต์แวร์คอนสตรัคเตอร์ จำกัด โทรศัพท์: 038-795070 Email: sales@softcon.co.th
สายด่วนโทร 086-3209268 (จันทร์ – เสาร์ เวลา 08:00 – 17:00 น. นอกเหนือจากเวลาดังกล่าว กรุณาโทรมาที่เบอร์ 081-8888028)

ห้องพระ www.udon108.com

ห้องพระ

SMEs - Manager Online - “THAI Flavour” เส้นก๋วยเตี๋ยวข้าวไทย ไอเดียเพิ่มค่า ฉีกคู่แข่ง

SMEs - Manager Online - “THAI Flavour” เส้นก๋วยเตี๋ยวข้าวไทย ไอเดียเพิ่มค่า ฉีกคู่แข่ง

“THAI Flavour” เส้นก๋วยเตี๋ยวข้าวไทย ไอเดียเพิ่มค่า ฉีกคู่แข่ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 มิถุนายน 2554 09:14 น.






คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
บี ล้อบุณยารักษ์



บี อรวรรณ และเกรซ ล้อบุณยารักษ์ 3 พี่น้องทายาทธุรกิจ




แม้จะเป็นรายใหญ่ด้านผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้งเพื่อส่งออก แต่ด้วยการขับเคี่ยวสูงจากคู่แข่งทั้งในและเทศ จำเป็นต้องเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ดังนั้น เมื่อทายาทธุรกิจเข้ามาสานต่อ พยายามเติมศักยภาพ ผ่านการสร้างแบรนด์ และสร้างจุดเด่นลงเส้นก๋วยเตี๋ยว โดยเป็นเส้นที่ทำจากข้าวไทย 100% สร้างจุดขายยืดอายุการเก็บรักษา และปลอดสารกันเสีย

คุณสมบัติดังกล่าว เป็นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ “THAI Flavour” บริษัท ล๊อตไฟว์ เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือบริษัท ไทย เอเชีย ไรซ์ โปรดักส์ จำกัด โดย “บี ล้อบุณยารักษ์” หนึ่งในทายาทธุรกิจ เผยว่า ครอบครัวทำกิจการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวมากว่า 35 ปี บุกเบิกโดยคุณพ่อ (ทวีศักดิ์ ล้อบุณยารักษ์) จากโรงงานเล็กๆ ที่ จ.แพร่ ผลิตเส้นสดขายส่งในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียงละแวกภาคเหนือ ก่อนจะพัฒนาสู่การทำเส้นอบแห้ง ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนช่วยให้กิจการเติบโตอย่างสูง

“จุดอ่อนของเส้นสด คือ เก็บได้ไม่นาน ช่องทางตลาดในอดีตจึงจำกัดแค่พื้นที่ใกล้ๆ โรงงานเท่านั้น คุณพ่อจึงคิดค้นการทำเส้นอบแห้ง สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น ถือเป็นผู้ผลิตรายแรกๆ ของประเทศเลย ช่วยให้ส่งไปขายได้ทั่วประเทศ รวมถึง ยังรับจ้างผลิตให้บริษัทเทรดดิ้งเพื่อการส่งออกไปอีกหลายประเทศด้วย” บี ขยายความ

ด้วยประสบการณ์ยาวนาน เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือของลูกค้าซัพพลายเออร์ บริษัทจึงเป็นผู้ผลิตก๋วยเตี๋ยวอบแห้งเพื่อส่งออกรายใหญ่ของไทย ยอดผลิตกว่า 1,200 ตันต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่เป็นลักษณะรับจ้างผลิต (OEM) ให้แก่เจ้าใหญ่ต่างๆ จึงไม่สามารถกำหนดตลาดได้เอง ดังนั้น หลังจากที่ทายาทได้เข้ามารับช่วง พยายามต่อยอดกิจการ ด้วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เน้นสร้างแบรนด์ และใส่ความแปลกใหม่ลงเส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้ง

บี อธิบายเสริมว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้งที่บริษัทพัฒนาขึ้นใหม่ ในชื่อแบรนด์ “THAI Flavour” ทำมาจากข้าวขาวล้วนๆ 100% ในขณะที่เส้นก๋วยเตี๋ยวอบแห้งในท้องตลาดทั่วไป จะเป็นเส้นที่มีส่วนผสมของแป้งมันประมาณ 30% โดยข้อดีของเส้นทำจากข้าวล้วน จะไร้น้ำมันที่อยู่ในแป้งมัน ช่วยให้เก็บรักษาในอุณหภูมิปกติได้นานกว่า 2 ปี ในขณะที่เส้นอบแห้งผสมแป้งมัน เก็บได้ประมาณ 6 เดือน

อีกทั้ง ผลิตโดยไม่ใส่สารกันเสียใดๆ ทั้งสิ้น ในขณะที่เส้นอบแห้งในท้องตลาด ยังจำเป็นต้องพึ่งสารเคมีบางชนิด เพื่อช่วยยืดอายุการเก็บรักษา นอกจากนั้น ยังพัฒนารูปแบบให้เป็นเส้นตรง คล้ายเส้น “พาสต้า” ช่วยให้สะดวกต่อการบรรจุซอง และเพิ่มพื้นที่จัดเรียงสินค้าในการขนส่ง ส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งประหยัดลง

ส่วนในแง่รสชาติความอร่อยนั้น ทายาทธุรกิจ ระบุว่า ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว โดยลักษณะของเส้นผสมแป้งมัน จะมีความเหนียว และมันมากกว่า ส่วนเส้นข้าวล้วนจะอ่อนนุ่ม เวลาเคี้ยวคล้ายกับกำลังกินข้าวสวย ขณะที่ต้นทุนการผลิตของเส้นทั้งสองชนิดใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบข้าวขาว และแป้งมัน

บี ยอมรับว่า สัดส่วนรายได้ของบริษัทขณะนี้ กว่า 80-85% ยังมาจากรับจ้างผลิต มีลูกค้ากระจายทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร ซาอุดิอาระเบีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นต้น ในขณะที่ขายภายใต้แบรนด์ตัวเอง สัดส่วนประมาณ 15-20% กลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นแม่บ้านที่ใส่ใจสุขภาพ รวมถึงภัตตาคาร หรือร้านอาหารที่ต้องการเส้นที่มีลักษณะเฉพาะ

ส่วนในตลาดเวลานี้ การแข่งขันถือว่าค่อนข้างสูง โดยในประเทศมีโรงงานผลิตประมาณ 15 ราย ซึ่งแต่ละเจ้าจะมีจุดเด่นของตัวเองแตกต่างกันไป ส่วนคู่แข่งจากต่างชาติ คือ ผู้ผลิตประเทศเวียดนาม ซึ่งมีความชำนาญด้านการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวสูง อีกทั้ง มีข้อได้เปรียบด้านแรงงานถูกกว่า ดังนั้น แผนการตลาดของบริษัท จะเน้นเพิ่มสัดส่วนขายภายใต้แบรนด์ตัวเอง และสร้างลักษณะพิเศษให้เส้นก๋วยเตี๋ยว เพื่อจะขายได้มูลค่าสูงขึ้น รวมถึง หาทางลดต้นทุนการผลิตทุกด้านให้ได้มากที่สุด

“เราพยายามกำหนดจุดยืนของตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวเพียงอย่างเดียว ไม่หันไปผลิตสินค้าประเภทอื่นๆ ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญ เน้นยกระดับตัวเองต่อเนื่อง จากที่ช่วงแรกเป็น OEM ต่อมาพัฒนาสู่การสร้างแบรนด์ตัวเอง และขั้นต่อมา เราพยายามใส่นวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าและหนีคู่แข่งออกไป” บี ระบุกลยุทธ์ตลาดที่วางไว้

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@