Monday 29 August 2011

ทำอย่างไรให้คนเสพติดลักชัวรี่ - Positioning Magazine

ทำอย่างไรให้คนเสพติดลักชัวรี่ - Positioning Magazine
ทำอย่างไรให้คนเสพติดลักชัวรี่
อรรถสิทธิ์ เหมือนมาตย์ Positioning Magazine 10 สิงหาคม 2554 Print

0 Comments • Share on Facebook • Email this • View CC license • Subscribe to this feed
Added on: 10/8/2554
ทำอย่างไรให้คนเสพติดลักชัวรี่

ตลาดลักชัวรี่เป็นตลาดที่ขายดิบขายดีทั่วโลก ทั้งภูมิภาคที่พัฒนาแล้วและภูมิภาคที่กำลังพัฒนา โดยปี 2553 ที่ผ่านมาบริษัทสำรวจวิจัย Bain & Company รายงานว่ามูลค่าสูงถึง 254 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากอดีตที่เป็นสินค้าสำหรับผู้สูงศักดิ์ ในกลุ่มคนผู้มั่งคั่ง ร่ำรวยเท่านั้น แต่ปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นใหม่มีความทะยานอยากมากขึ้น พร้อมๆ กับทรัพย์สินที่ทำมาหาได้มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดลักชัวรี่ โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นหรูส่องประกายรุ่งโรจน์ทั่วโลก

เกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ศูนย์การค้าสยามพารากอน กูรูผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดในวงการค้าปลีกลักชัวรี่ในไทยมานาน บอกเล่าถึงความสำคัญของตลาดลักชัวรี่ และข้อคิดในการเข้าถึงลูกค้าผู้คลั่งไคล้ความหรูหรา

ส่องตลาดลักชัวรี่

ความหรูหรามีราคา และผลักดันให้ลูกค้ามีแรงปรารถนาที่จะเสพอย่างไม่สิ้นสุด

“เดิมคนใช้น้อย เข้าถึงยาก ซื้อยาก แต่ปัจจุบันสินค้าหรูจริงๆ ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ เป็นปรากฏการณ์โลก ต้องขายความเป็นแฟนตาซี ถึงคนมีเงินน้อยลง แต่เขายิ่งซื้อของมีค่ามากขึ้น เพราะอยากได้ของดีมีคุณภาพคุ้มค่าเงินที่มี แต่ลักชัวรี่ของคนคนหนึ่งอาจไม่ใช่ของอีกคนหนึ่ง คนที่มีกระเป๋าเบอร์กิ้นใบแรกกับใบที่ 10 ก็จะแตกต่างกัน ลักชัวรี่ไม่ได้กำหนดด้วยราคาอย่างเดียว แต่หมายถึงเป็นของหายากและพิเศษ เป็นการเสพเพื่อตัวเองและคนอื่นหลายคนถือว่าเป็นจิตวิญญาณ ไม่ได้เลือกซื้อด้วยเหตุด้วยผล”

“ลักชัวรี่ตัดสินกันด้วยอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ เป็นเรื่องสปอยล์ เป็นความสุขทางใจที่ไม่สามารถทดแทนด้วยอย่างอื่นได้ เป็นการหล่อหลอมความรู้สึก จิตวิญญาณ ความภาคภูมิใจ ยากที่จะลบล้าง เป็นยิ่งกว่า Loyalty”

ความโดดเด่นประการหนึ่งของลักชัวรี่แบรนด์ ที่เป็นจุดขายสำคัญคือ “ตำนาน”

“ลักชัวรี่ต้องมีราก มี Heritage เล่าเรื่องให้ยุ่งยากและยุ่งเหยิงเข้าไว้”

ดังนั้นแบรนด์ระดับตำนานจึงมีข้อได้เปรียบที่จะหยิบยกเรื่องราวที่มีอยู่มากมายมาเล่าได้ในหลายแง่มุม สามารถบอกต่อจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่รู้จบ เช่น LOUIS VUITTON อายุกว่า 157 ปี GUCCI อายุกว่า 90 ปี เช่นเดียวกับ CHANEL อายุ 101 ปี เป็นต้น

“ลูกค้าต้องการมี Status Stories โดย Louis Vuitton เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ กับแคมเปญ Journeys”

เกรียงศักดิ์บอกว่า สินค้าลักชัวรี่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนน้อย ยิ่งเพียว ลักชัวรี่ (Pure Luxury) อย่าง CHANEL, LOUIS VUITTON และ HERMES ไม่เคยลดราคาไม่เคยทำโปรโมชั่น ปี 2553 CHANEL ขึ้นราคา 20% แต่ยอดขายในไทยโต 40%

“แบรนด์พวกนี้ไม่เคยเซลล์ ยิ่งแพง ยิ่งยาก ยิ่งภูมิใจ ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งคนรุ่นใหม่เป็นพวกสุขนิยม ชอบให้ของขวัญกับตัวเองคนที่ติดแล้วเลิกยาก เจอของดีแล้วก็ไม่อยากเปลี่ยน”

ลักชัวรี่แบรนด์ จึงแข่งขันกันเปิด Flagship Store อย่างเอิกเกริกโดยเฉพาะในตลาดดาวรุ่งอย่างจีนและรัสเซีย

“ตอนนี้ Channel Distribution ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เน้นเปิดสาขาใหญ่ขึ้น ขยายไลน์สินค้ามากขึ้นในรูปแบบของ Global Concept”

มนตราแห่งความฝัน

โฆษณาที่สวยงาม หรูหราอยู่เป็นนิจ ตลอดจนดิสเพลย์และเมอร์ชั่นไดซิ่งต่างๆ ภายในช็อปเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สินค้าลักชัวรี่กลายเป็นความฝันอันพึงปรารถนาและน่าไขว่คว้า โดยมีเบื้องหลังคือกลไกในการขับเคลื่อนความฝัน

“พัฒนาลูกค้าระดับกลางให้ติดลมบน เพราะถ้าเขาติดลมบนแล้วจะไม่เลิกเสพลักชัวรี่ ถึงตอนนี้รายได้ยังน้อย แต่รสนิยมสูงไม่เป็นไร ส่วนลูกค้าระดับล่างให้เขาสนุกสนานกับไลฟ์สไตล์หรูหรา เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้เขา เพราะหัวใจสำคัญคือต้องทำให้ลูกค้ามองขึ้นข้างบนตลอด เพราะถ้าแพงขึ้น หมายถึงคนใช้น้อยลง”

“ต้องให้ลูกค้าฝัน อย่าให้เขาตื่น เพราะถ้าเขาตื่นก็จบ ต้องผลักดันเขาขึ้นไปเรื่อยๆ”

โอกาสของสินค้าลักชัวรี่จึงไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ไม่หยุดความฝัน หรือปลุกให้ผู้บริโภคตื่นจากความฝันอันน่าพิสมัย

เกรียงศักดิ์แจกแจกลูกค้ากลุ่มนี้ว่า “กลุ่มลูกค้าไฮเอนด์จะมีไลฟ์สไตล์เทรนดี้ รู้จักใช้ชีวิต รู้จักใช้ของที่มีคุณภาพสูง ใส่ใจในความเป็นตัวของตัวเอง ยึดมั่นใน Singularity ใช้สินค้าลักชัวรี่แล้วสะใจ อะไรที่เป็นเป็นเทรนด์จะมาจากกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนในทุกเซ็กเมนต์”

“คนรุ่นใหม่ฉลาด มีความคิดของตัวเอง ไม่ตามกัน มีคาแร็กเตอร์ของตัวเอง มองหาสินค้าที่ Value to lifestyle มากกว่า Value for money สินค้าเองก็ฉลาดขึ้น มีนวัตกรรม เช่น นาฬิกาทำจากวัสดุที่ทันสมัยขึ้นขณะเดียวกันก็ดูแลง่ายขึ้น”

เขาบอกเล่าเพิ่มเติมว่า แม้แต่นักศึกษายังมีความฝัน จากอดีตกระเป๋าถือใบแรกต้องเป็น LOUIS VUITTON แต่ปัจจุบันนิยม CHANEL ซึ่งมีราคาแพงขึ้น

“เราจะเจอลูกค้าที่เรื่องมากได้อีก มากไม่มีที่สุด ซึ่งไม่ผิด เพราะเราสปอยล์เขาเอง เขาจะเดินบนพรมแดงที่ปูด้วยชีวิตและจิตใจ”

ตลาดลักชัวรี่ไทย ไม่เปรี้ยงแต่ยังรุ่ง

เนื่องจากในไทยยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถที่จะบริการลูกค้าลักชัวรี่ ที่มีความรู้และความต้องการสูง เพราะไทยยังไม่มีการพัฒนาบุคลากรด้านนี้อย่างเป็นระบบ สถาบันปัญญาภิวัฒน์จึงชิมลางก่อนเปิดหลักสูตรพัฒนาบุคลากรเพื่อ Premium Retail ด้วยการเสวนาเรื่อง “Branding The Premium Retail Business in Thailand : Challenges & Opportunities”

“ลูกค้ายุคใหม่รู้เยอะกว่าพนักงานขาย ซึ่งไม่ถูกต้อง พนักงานจำเป็นจะต้องรู้ให้ลึกซึ้งและเข้าใจจิตวิทยาลูกค้า ต้องไปไกลกว่าลูกค้า 1 ก้าวเสมอ ที่สำคัญต้องมีทักษะทางภาษาต่างประเทศ มีการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาระดับมาตรฐานของการทำงานให้เสมอต้นเสมอปลาย เพราะพนักงานเป็นด่านหน้าที่เป็นปัจจัยสำคัญว่าจะขายได้หรือไล่ลูกค้า”

ขณะที่การพัฒนาบุคลากรในด้านนี้มีการเรียนการสอน Luxury & Fashion Management มาเนิ่นนานแล้วในยุโรป อเมริกา และอีกหลายประเทศในเอเชีย

การตื่นตัวในเรื่องการสรรหาบุคลากรเพื่อค้าปลีกหรูในไทย นับว่าเป็นไปอย่างมีนัยสำคัญ เพราะลักชัวรี่แบรนด์จะพาเหรดเปิดตัวที่โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ในปี 2556 ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุดคือ GUCCI ได้เปลี่ยนโอนผู้ถือลิขสิทธิ์ในไทยจากอิตัลสยามของเภาลีนา ณ นคร มาสู่ชายคาเซ็นทรัล กรุ๊ป เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงแบรนด์เครื่องหนังดังอย่าง BOTTEGA VENETA ด้วย

ตลาดลักชัวรี่เมืองไทยจึงอยู่ในช่วงเวลาที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง แม้จะยังไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนจีน รัสเซีย บราซิลและอินเดีย ที่กำลังเนื้อหอมสุดๆ ในเวลานี้

พระเจ้าของตลาดลักชัวรี่

แบ่งกลุ่มเป้าหมายของตลาดลักชัวรี่ออกเป็น 4 กลุ่ม ตามกำลังทรัพย์ หรือพลังในการจับจ่ายที่แตกต่างกัน ดังนี้
Old Rich รวยมาแต่บรรพบุรุษ ผ่านลักชั่วรี่มาทุกรูปแบบเพราะอายุมากแล้ว พยายามฉีกออกไป ไม่ต้องการใช้ซ้ำกับคนอื่น หันไปหางาน Tailor Made บ้างหันไปหา Haute Couture เพื่อความพิเศษและแตกต่าง มีรถมาหลายคัน แม้กระทั่งซูเปอร์คาร์ จนคล้ายถึงจุดอิ่มตัว เพราะตัวตนเขาเองกลายเป็น Iconic จึงเป็นช่วงเวลาที่ให้กับลูกหลานมากขึ้น แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีการแพทย์ก้าวไกลคนกลุ่มนี้ก็จะมีอายุขัยมากขึ้น จับจ่ายต่อไปได้นานขึ้น

Nuveau Rich คนรวยรุ่นใหม่ รวยใน Generation ของตัวเอง เป็นเจ้าของธุรกิจเติบโตมาจากธุรกิจส่งออก-นำเข้า การเงินและอสังหาริมทรัพย์ มีพฤติกรรมช้อปถี่ มีสังคม เพื่อนฝูงเยอะ ปาร์ตี้บ่อย ตามติดเทคโนโลยีและอัพเดตข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ยอมตายขอให้มีแบรนด์

HENRYs (High Earners, Not Rich Yet) เป็นนิยามที่ Shawn Tully นักเขียนนิตยสารฟอร์จูนได้บัญญัติไว้ มีความรู้เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร มีรายได้ดีกว่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไป มีรสนิยมดี ทั้งยังมีความรู้และความปลาบปลื้มกับแบรนด์เนมหรูอยู่แล้ว และเมื่อกำลังทรัพย์พร้อม ก็พร้อมที่จะทะยานเข้าสู่ลักชัวรี่ แบรนด์ที่หรูหราขึ้นเรื่อยๆ เป็นกลุ่มคนที่ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อหวังผลระยะยาว


ลักชัวรี่ทำตลาดกันอย่างไร
สร้างStatus Stories โดย Louis Vuitton เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ กับแคมเปญ Journeys ที่นำเสนอไอเดียว่าชีวิตคือการเดินทาง แทนที่จะขายกระเป๋าเดินทางแบบโต้งๆ

ใช้สินทรัพย์ที่มีค่าอย่าง Iconic Logo ต่อยอดในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์

สร้าง Signature Product เช่น Neverfull Bag ของ LOUIS VUITTON และ Birgin ของ HERMES เป็นต้น

แตกไลน์ ขยายมาสู่คนรุ่นใหม่มากขึ้น ที่เรียกว่า Second Line หรือ Bridge Line Brand ที่บางครั้งถูกเรียกขานว่า Affordable Luxury เช่น MARC JACOB มี MARC BY MARC JACOB เป็นต้น

“ออกกระเป๋าผ้าใบละไม่กี่พันบาท คนเดิมได้ใช้มากขึ้น คนใหม่ก็ได้เริ่มใช้”

มี Brand Ambassadorชื่อดังระดับโลกเพื่อแสดงความเป็นแบรนด์ระดับท็อป เช่น COACHใช้ กวินเนท พัลโธร์ว และ OMEGA ใช้ ซินดี้ ครอฟอร์ด เป็นต้น

ออก Limited Edition โดยเฉพาะนาฬิกาเรือนหรู ระดับ TOP 5-10 มีรุ่นพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัด ราคาไม่ตก และนับวันจะยิ่งมีมูลค่ามากขึ้น จัดเป็นของสะสมสำหรับแฟนพันธุ์แท้

“ถ้าตลาดไหนเติบโตดี บริษัทแม่เขาจะส่งคอลเลกชั่นพิเศษมาให้ อย่างคลัทช์รุ่นพิเศษที่ LOUIS VUITTON ร่วมกับมาดอนน่า วางขายที่ดิ เอ็มโพเรียม แค่พริบตาเดียวก็หมด”

สื่อโฆษณาต้องมีสไตล์ไม่เหมือนใคร เช่น แคมเปญ Lady Dior ที่ใช้นางเอกระดับออสการ์อย่าง Marrion Cotillard ไปถ่ายบนหอไอเฟล และเผยเบื้องหลังการถ่ายทำผ่านเว็บไซต์

“การโฆษณาไม่ไดสื่อไปยังลูกค้าเก่าเท่านั้น แต่ทำให้ลูกค้าใหม่อิจฉาและรับรู้แบรนด์”

ทำในสิ่งที่สร้างความประหลาดใจอยู่ตลอดเวลา เช่น ล่าสุด Luis Vuitton ไปเปิด Pop-Up Store ที่งานเทศกาลโฆษณาโลกที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส


Top Luxury Retail Destination
เมืองที่ลักชัวรี่แบรนด์ต้องการไปเปิดมากที่สุด คือ
นิวยอร์ก 44.3%
ปารีส 43.6%
ฮ่องกง 40.6%

นอกจากนี้ยังมีสิงคโปร์ โตเกียว เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง โดย LVMH (LOUIS VUITTON MOET HENNESSY) เป็นบริษัทลักชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแบรนด์จำนวนมากที่สุดกว่า 50 แบรนด์

จากการสำรวจของ CBRE พบว่าในปี 2011 ฮ่องกงเป็นตลาดชั้นนำของโลกที่ดึงดูดลักชัวรี่แบรนด์ได้มากถึง 84% ของจำนวนลักชัวรี่แบรนด์ทั้งหมดทั่วโลก และในปี 2020 คาดการณ์ว่าจีนจะเป็นตลาดใหญ่ของลักชัวรี่แบรนด์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 40% ของโลก จากปัจจุบันที่มีอยู่ที่ 15%

Friday 26 August 2011

พิธีการด้านศุกากร นำเข้า-ส่งออก

พิธีการด้านศุกากร นำเข้า-ส่งออก

Extreme Custom Clearance ECC รับบริการออกของ และเคลียร์ของที่มีปั

Extreme Custom Clearance ECC รับบริการออกของ และเคลียร์ของที่มีปั

เกี่ยวกับศุลกากร

เกี่ยวกับศุลกากร

aas.co.th

aas.co.th

usvisa4thai.com - View topic - การขนของส่งกลับไทย ในกรณ๊ย้ายกลับไปอยู่ไทยค่ะ

usvisa4thai.com - View topic - การขนของส่งกลับไทย ในกรณ๊ย้ายกลับไปอยู่ไทยค่ะ

พิธีการศุลกากร >> พิธีการนำเข้าของใช้ในบ้านเรือน :: กรมศุลกากร

พิธีการศุลกากร >> พิธีการนำเข้าของใช้ในบ้านเรือน :: กรมศุลกากร

usvisa4thai.com - View topic - การขนของส่งกลับไทย ในกรณ๊ย้ายกลับไปอยู่ไทยค่ะ

usvisa4thai.com - View topic - การขนของส่งกลับไทย ในกรณ๊ย้ายกลับไปอยู่ไทยค่ะ

ส่งของกลับไทย - Ladyinter Club

ส่งของกลับไทย - Ladyinter Club

Welcome to TSAClub.com

Welcome to TSAClub.com

PANTIP.COM : H10099841 ย้ายของกลับบ้าน ส่งมาทางเรือจะเสียภาษีมากน้อยแค่ไหน []

PANTIP.COM : H10099841 ย้ายของกลับบ้าน ส่งมาทางเรือจะเสียภาษีมากน้อยแค่ไหน []

มีใครเคยส่งของทางเรือจากอังกฤษไปไทยบ้าง - Ladyinter Club

มีใครเคยส่งของทางเรือจากอังกฤษไปไทยบ้าง - Ladyinter Club

Shipping to England--ส่งของทางเรือ - Ladyinter Club

Shipping to England--ส่งของทางเรือ - Ladyinter Club

UK Air Shipment > ขนส่งสินค้าจากอังกฤษกลับไทยทางเครื่องบิน [Engine by iGetWeb.com]

UK Air Shipment > ขนส่งสินค้าจากอังกฤษกลับไทยทางเครื่องบิน [Engine by iGetWeb.com]

ขนส่งสินค้าจากอังกฤษกลับไทยทางเครื่องบิน



สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าจากประเทศอังกฤษ แล้วต้องการส่งกลับประเทศไทยทางเครื่องบิน

ตัดรอบทุกวันที่ 15/30 ของทุกเดือน จะได้รับสินค้าภายใน 10 วัน หลังปิดรอบแจ้งให้ผู้ขายส่งสินค้าของท่านไปตามที่อยู่นี้

MR.MIKE/BBS/USM/..ชื่อผู้รับสินค้า..

UNIT 2,THE GRIFFIN CENTER,

STAIN RD.FELTSHAM,

MIDDLESEX,TW14 0HS,UK

PHONE:+44(0)8831 9326

กรุณาแจ้งให้เราทราบทุกครั้งหลังส่งสินค้าเข้าคลัง เพื่อประโยชน์ของท่านเอง

Saturday 20 August 2011

Weekly - Manager Online - วิธีคิด และทำแบบ Nothing Impossible ของ ศิริญา เทพเจริญ

Weekly - Manager Online - วิธีคิด และทำแบบ Nothing Impossible ของ ศิริญา เทพเจริญ
วิธีคิด และทำแบบ Nothing Impossible ของ ศิริญา เทพเจริญ
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 19 สิงหาคม 2554 12:38 น.
Share11

ศิริญา เทพเจริญ
*โมเดลการรุกตลาดแบบติดสปีดผู้บริหารสาว

*การบริหารแบบไม่ต้องคิดมาก แต่ประสบความสำเร็จสูง

*หัวใจของการขยับแบบก้าวกระโดดจาก 50 ล้านเป็นพันล้านใน 5 ปี

*แผนดำเนินการเพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ให้ถึงฝั่งฝัน

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา

จะธรรมดาได้อย่างไร ในเมื่ออายุเพิ่งแตะหลักสี่มาหมาดๆ ก็เป็นรองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท อั่งเปา แอสเสท จำกัด (มหาชน) ที่มีสินทรัพย์นับหมื่นล้านบาท ทั้งที่ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก และชีวิตในช่วงต้นก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

จะธรรมดาได้อย่างไร เมื่อเธอเข้าไปซื้อโรงพยาบาลด้านสุขภาพที่ประเทศเยอรมัน และยังเป็นผู้บริหารแบงค็อก เมดิเพล็กซ์ ศูนย์รวมเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล แห่งแรกของไทย ทั้งที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านแพทย์เลยสักนิด

และอื่นๆอีกหลายโครงการที่ผ่านมา และกำลังจะตามมา

เพราะ “เธอ” เชื่อว่าในโลกธุรกิจไม่มีอะไรที่เธอจะทำไม่ได้ เพียงแต่จะทำหรือไม่เท่านั้น

ศิริญา เทพเจริญ หรือ คุณหมวย ที่นอกจากจะดูแลสายงานการตลาดให้กับบริษัทข้างต้นแล้ว ยังเป็นรองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทณุศาศิริ และเป็นผู้บริหารแบงคอก เมดิเพล็กซ์ ศูนย์สุขภาพ วิลลา เมดิคา 2 ใน 4 แบรนด์หลักของอั่งเปา ส่วนที่เหลืออีก 2 แบรนด์คือ อัพเอกมัย คอนโดมีเนียม และเอ็กซ์โซ คอนโดฯ เล่าให้ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ฟัง ถึงวิธีคิด และทำงานของเธอนั้น จริงแล้วไม่แตกต่างจากเจ้าของกิจการรายอื่น เพียงแต่ใครจะคิดเร็วหรือช้ากว่ากันเท่านั้น

“จริงแล้วก่อนที่จะซื้อที่จะมีโครงการอยู่ในหัวแล้ว ว่าเรามองเห็นอะไร จะทำอะไรถึงค่อยซื้อ จริงแล้วมันมีพื้นฐานอยู่ว่า ปัจจุบันคู่แข่งเป็นอย่างไร แต่ละจุดขายได้มากน้อยแค่ไหน เราจะสามารถเข้าไปแชร์ตลาดจากเขาได้อย่างไร หากเสี่ยงที่จะไปแชร์ตลาดเราสามารถเปลี่ยนโปรดักส์ได้หรือไม่ ทุกอย่างมันมีทางออกอยู่แล้ว อย่าไปคิดเยอะ สมมติว่าเราจะขายของสักชิ้น รู้ว่ามีลูกค้ากลุ่มนี้แน่นอน จากนั้นก็ดูว่าในตลาดเรามีข้อดีหรือข้อเสียอะไร และเราทำอะไรได้ดีกว่าในจุดที่ลูกค้าต้องตัดสินใจมาเลือกเรา อย่างหมวยประชุมกับการตลาดจะให้โจทย์ว่าอย่าไปคิดอย่างอื่น อย่าคิดว่าต้องลงโฆษณาเยอะ แต่ให้คิดก่อนว่าทำไมเขาถึงซื้อคุณ จากนั้นถึงค่อยไปคิด ค่อยทำเรื่องอื่น”

ด้วยความที่คิดเร็ว ทำเร็ว เช่นนี้ทำให้ช่วงต้นๆ ของการเข้าสู่วงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เธอใช้เวลาเพียง 4-5 ปี ก็สามารถขยายธุรกิจจาก 50 ล้านบาท ขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท

อาจเพราะ “หัวใจ” ของการทำธุรกิจอสังหาฯ ก็คือ “เวลา” ตั้งแต่กระบวนกการซื้อของถูก จนถึงปิดโครงการ ต้องบริหาร Cost of Fund ให้คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่มีอยู่ เป็นสไตล์เดียวกับณุศาศิริที่เน้น “ความเร็ว แข่งกับเวลา”

สำหรับวิสัยทัศน์ของอั่งเปา ที่เพิ่งแปลงร่างสร้างบริษัทมาได้ปีกว่าๆ ก็คือ “เป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ ที่จะสร้างที่อยู่อาศัย และให้บริการกับสุขภาพชีวิตของคนในสังคม” เป็นทิศทางการดำเนินงานที่แตกออกเป็น 2 ด้านใหญ่ ด้านแรก อสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ถนัด และสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างเป็นกอบเป็นกำ ด้านที่สอง สุขภาพ เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างดี เนื่องจากผู้คนเริ่มใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น

ผู้บริหารคนสวยของอั่งเปา ตั้งใจไว้ว่าจะผลักดันให้บริษัทอั่งเปา มีสินทรัพย์ขยับขึ้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับท็อป 5 ให้ได้ภายใน 3 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 30 ต้นๆ

แม้เป็นเรื่องยากเกินจินตนาการ แต่การไปถึงเป้าหมายอาจเป็นไปได้ หากมีกลยุทธ์การจัดการที่ดี

ประการแรก มีประสบการณ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าสิบปีทั้งภายใต้แบรนด์ณุศาศิริ ที่เจาะตลาดในระดับพรีเมียมวางราคาไว้ที่ 10 ล้านบาทขึ้นไป กับแบรนด์กฤษณา ที่เจาะกลุ่มตลาดกลางไปจนถึงระดับบนราคาตั้งแต่ 7-9 ล้านบาท ทำให้มีความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภค และทิศทางของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถต่อสู้กับสภาวะการแข่งขันอันยากลำบาก ดังจะเห็นได้จากความสามารถในการเติบโตเหนือผู้ประกอบการรายอื่นในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540

ประการที่สอง การเข้าไปซื้อบริษัท ไทยเกรียงกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2551 ซึ่งเดิมบริษัทนี้ทำธุรกิจสิ่งทอ และอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ เพื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทางอ้อม พร้อมเปลี่ยนชื่อจากณุศาศิริ เป็น อั่งเปา

การดำเนินการนี้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงินจะได้ระดมทุนได้มีทางเลือกมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาเงินทุนส่วนตัวและสถาบันการเงินแต่เพียงอย่างเดียว และที่สำคัญทำให้การบริหารงานเปลี่ยนจากการบริหารแบบครอบครัวมาเป็นแบบมืออาชีพมากขึ้น

“การเข้ามาอยู่ในตลาดฯ นอกจากเรื่องการระดมทุนแล้ว ยังเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น จากนี้ไปจะมีทั้งการร่วมทุน ควบรวมกิจการ หรืออื่นๆ ทุกอย่างวางไว้ในแผนหมดแล้ว เพียงแต่รอการอนุมัติเท่านั้น”

ที่ผ่านมามีข่าวคราวออกมาว่าอั่งเปาอยู่ระหว่างการเจรจาในลักษณะของการร่วมทุนกับพันธมิตรธุรกิจก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศ 2-3 ราย เพื่อมาเสริมจุดแข็งในด้านงานก่อสร้างของบริษัท ซึ่งเป็นโมเดลในลักษณะเดียวกับที่พฤกษาฯ ทำอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ หากอั่งเปาสามารถไต่ระดับขึ้นเป็นท็อป 5 ได้ ก็จะยิ่งทำให้บริษัทต่างชาติให้ความสนใจบริษัทนี้เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญเมื่อใหญ่โต และเข้มแข็งถึงขนาดแล้ว เป้าหมายต่อไปจึงไม่ได้อยู่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น

มามองการดำเนินงานเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นอีกด้านของวิสัยทัศน์บ้าง

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เธอได้ใช้เงินกว่า 1,000 ล้านบาท เปิดโครงการแบงค็อก เมดิเพล็กซ์ เป็นโครงการเปิดพื้นที่ให้เช่าคลินิกแก่แพทย์เฉพาะทางจากหลายสาขาเข้ามาเปิดศูนย์การแพทย์เพื่อทำการรักษาผู้ป่วยโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันในศูนย์แห่งนี้จะมีวิลล่า เมดิก้า ซึ่งเป็นการลงทุนของเธอเอง เป็นบริการรักษาโดยวิธีเซลล์บำบัด ด้วยวิทยาการแพทย์จากเยอรมนี โดยเป็นศูนย์ประจำแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียที่ให้การรักษาในมาตรฐานเดียวกับบริษัทแม่ที่เยอรมัน นอกจากนี้ยังลงทุนสร้างโรงแรมและโรงพยาบาลมูลค่า 300-400 ล้านบาทที่ภูเก็ตอีกด้วย

“ตอนนี้ไม่ได้มองแค่ประเทศไทยอย่างเดียว คือหมวยไปซื้อโรงพยาบาลสุขภาพที่เยอรมัน เพราะไม่เคยคิดว่าบริษัทของเราจะอยู่ที่ประเทศไทย หมวยเพิ่งพูดเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมากับพนักงานว่าเราต้องมองตลาดอาเซียน”

แม้การแข่งขันกับตลาดอาเซียนจะเป็นงานใหญ่ และไม่ใช่งานง่าย แต่เธอเชื่อว่าไม่มีความยากลำบากในตรงนั้น และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

“แต่ก่อนไม่มีสักเรื่องเรายังก้าวเดินมาได้ แต่วันนี้เราทั้งอยู่ในตลาดฯ ซึ่งมีทั้งระบบ มีเป้าหมาย ความโปร่งใส ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตอนนี้เรามีทุกอย่างทำไมเราจะไปถึงจุดนั้นไม่ได้ ทุกวันนี้ยังบอกพนักงานให้เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เวลาทำอะไรต้องตั้งใจ คิดว่าเราอยากได้อะไร ตั้งเป้าหมายไว้ก่อน คิดอย่างเดียวว่าต้องสำเร็จ แล้วเราจะใช้กำลังทั้งหมด หาทุกวิธีเพื่อทำให้ไปถึงเป้าหมายเอง” นักธุรกิจสาว ที่บอกว่าที่ผ่านมายังไม่เคยพบกับความล้มเหลวในการทำงานเลย หากตนเองตั้งใจ อธิบายให้ฟัง

แต่ถ้าถามเคล็ดลับการลงทุนในธุรกิจเพื่อให้ประสบความสำเร็จแล้ว เธอบอกว่ามีอยู่ 3 เรื่องคือ ความต้องการของผู้บริโภค ตลาด และจังหวะ

นี่คือวิธีคิดและทำของผู้หญิงที่ชื่อ ศิริญา เทพเจริญ

Monday 8 August 2011

Travel - Manager Online - คนเผาพระ ภูมิปัญญาอันน่าทึ่ง แห่งเมืองกำแพงเพชร

Travel - Manager Online - คนเผาพระ ภูมิปัญญาอันน่าทึ่ง แห่งเมืองกำแพงเพชร

"คนเผาพระ" ภูมิปัญญาอันน่าทึ่ง แห่งเมืองกำแพงเพชร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 สิงหาคม 2554 15:50 น.
Share18

ลักษณะของพระซุ้มกอ
“นครชุม” เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณปากคลองสวนหมาก บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิงตรงข้ามกับเมืองกำแพงเพชร เกิดขึ้นในยุคกรุงสุโขทัย ช่วงรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง ทำหน้าที่เมืองหน้าด่านทางทิศตะวันตกของสุโขทัย

และในช่วงนั้น ถือได้ว่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนา ศิลปะ และสถาปัตยกรรมต่างๆ โดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุ และทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่เมืองนครชุม อันเป็นตำนานของประเพณีนบพระเล่นเพลง ที่สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ในภายหลัง เมื่อมีผู้รื้อพระศรีรัตนมหาธาตุเจดีย์ ก็ได้พบจารึกบนแผ่นลานเงินในกรุ ซึ่งจารึกถึงตำนานการสร้าง “พระพิมพ์” หรือที่ในปัจจุบันเรียกว่า “พระเครื่อง” นอกจากนี้ในพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง เรื่องการเสด็จประพาสกำแพงเพชร ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเขียนในปี พ.ศ. 2449 ก็ได้กล่าวถึงจารึกบนแผ่นลานทอง อันมีข้อความเกี่ยวกับการขุดพบพระต่างๆ ตามกรุต่างๆ เช่นกัน

แหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุม
นับว่าการสร้างพระพิมพ์ หรือพระเครื่องนั้น มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 700 - 800 ปี แล้ว และเชื่อกันว่าคงมิได้สร้างเฉพาะพระพิมพ์เท่านั้น น่าจะมีการสร้างพระพุทธรูป และถาวรวัตถุอื่นๆ ในพระพุทธศาสนาไว้อีกด้วย

ในพระราชนิพนธ์เรื่องเสด็จประพาสต้นครั้งที่สอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวไว้ว่า “ของถวายในเมืองกำแพงเพชรนี้ ก็มีพระพิมพ์เป็นพื้น” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชาวกำแพงเพชรในการให้พระเครื่องเป็นของที่ระลึก สำหรับผู้ที่เคารพนับถือและมิตรสหาย

สมหมาย พยอม ผู้ริเริ่มแหล่งเรียนรู้
พระกำแพงซุ้มกอ พุทธศิลป์สกุลช่างกำแพงเพชร

ข้อความตามศิลาจารึกหลักที่ 8 (ศิลาจารึกเขาสุมนกูฏ) มีการเรียกเมืองนครชุมว่า “นครพระชุม” ซึ่งอาจจะมีความหมายถึงเป็นเมืองที่รวมของพระ หรืออาจหมายถึงมีพระมาก ซึ่งในครั้งที่มีการรื้อพระศรีรัตนมหาธาตุเจดีย์ ที่วัดพระบรมธาตุนครชุม สถานที่ค้นพบศิลาจารึกหลักที่ 3 (ศิลาจารึกนครชุม) ก็มีการพบพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก และนับว่าเป็นต้นตอของพระเครื่องตระกูลทุ่งเศรษฐี ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกำแพงเพชร

พระเครื่องของจังหวัดกำแพงเพชรมีชื่อเสียงในด้านความสง่างามด้วยศิลปะที่เกิดจากประติมากรรมของช่างสกุลกำแพงเพชร นักโบราณคดีบางคนกล่าวว่า เป็นพุทธประติมากรรมของพระพุทธศาสนาที่มีฝีมือเป็นเลิศ มีความคิดอิสระ และมีแรงบันดาลใจสูง จึงเกิดความประณีตงดงามอันหาค่าไม่ได้

เนื้อส่วนผสมของพระเครื่องมีทั้งเนื้อดิน เนื้อชิน เนื้อเงิน เนื้อนาค และเนื้อทอง โดยเฉพาะเนื้อดิน จัดเป็นเนื้อเกสรที่มีความอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ และสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดกำแพงเพชร เซียนพระทั้งหลายมักจะรู้กันว่า กำแพงเพชรเป็นแหล่งรวบรวมพระเครื่องแหล่งใหญ่ของประเทศ ซึ่งพระเครื่องที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปมีสองกรุ คือ

เตาเผาพระ
กรุพระเครื่องฝั่งตัวเมืองกำแพงเพชร เป็นที่รวมของพระบูชาที่มีพุทธศิลป์ทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่ทวารวดี ลพบุรี เชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง อยุธยา ได้แก่ กรุวัดพระแก้ว กรุวัดป่ามืด กรุวัดมหาธาตุ กรุวัดช้างรอบ กรุวัดสิงห์ กรุวัดสี่อิริยาบถ กรุลานดอกไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีพระบูชาจากนอกประเทศไทยมาบรรจุอยู่ในกรุด้วย เช่น ลังกา ศรีวิชัย และพม่า

กรุทุ่งเศรษฐี ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวจังหวัดกำแพงเพชรในปัจจุบัน กรุพระที่อยู่ในตระกูลทุ่งเศรษฐีมีเป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุวัดพระบรมธาตุ กรุเจดีย์กลาง กรุวัดพิกุล กรุซุ้มกอ กรุบ้านเศรษฐี กรุฤาษี เป็นต้น และพระเครื่องในตระกูลนี้ ได้แก่ พระกำแพงซุ้มกอ พระกำแพงเม็ดขนุน และพระกำแพงพลูจีบ ก็ได้รับเกียรติจากวงการพระเครื่องให้บรรจุอยู่ในชุดเบญภาคี

พระกำแพงซุ้มกอ ซึ่งอยู่ในตระกูลทุ่งเศรษฐี มีชื่อเสียงในด้านความสง่างามด้วยศิลปะแห่งประติมากรรมของสกุลช่างกำแพงเพชร มีลักษณะงดงามเป็นอันดับหนึ่งของพระนั่งตระกูลทุ่งเศรษฐี มีทั้งเนื้อดิน เนื้อชิน และเนื้อว่าน พุทธลักษณะมีทั้งสมาธิเพชร และสมาธิราบ โดยเฉพาะพระกำแพงซุ้มกอพิมพ์ใหญ่ มีพุทธลักษณะ ศิลปะเชียงแสนผสมกับสุโขทัย คือพระองค์อวบอ้วน พระอุระผึ่งนูนแลเด่นสง่างามแบบเชียงแสน พระนาภีเรียว การทิ้งพระพาหา และการขัดสมาธิงดงามแบบสุโขทัย องค์พระมีประภามณฑล รอบพระเศียรคล้ายรูปทรงของตัว ก.ไก่ จึงเรียกกันว่า ซุ้มกอ มี 2 แบบ คือแบบที่มีลายกนก และแบบไม่มีลายกนก การพบพระซุ้มกอ มีสองระยะ คือ

ระยะแรก เมื่อสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) เสด็จมาเยี่ยมญาติที่ กำแพงเพชร ราว พุทธศักราช 2392 ได้ค้นพบพระเครื่องที่วัดพระบรมธาตุ นครชุม เป็นพระซุ้มกอจำนวนมาก เป็นขนาดพิมพ์ใหญ่อย่าง เดียว พบจารึกลานเงิน กล่าวถึงการสร้างพระเครื่อง พบคาถาและวิธีการในการสร้างพระเครื่อง เล่ากันว่าทรงนำไป สร้างสมเด็จวัดระฆังอันศักดิ์สิทธิ์ ระยะที่ 2 ประมาณพุทธศักราช 2490 ที่กรุทุ่งเศรษฐี มียอดเจดีย์หัก พบพระซุ้มกอจำนวนมากมีอักขระ อุ นะ อุ แบบเชียงแสน พระพักตร์และสีเนื้องดงามมาก

พระกำแพงซุ้มกอ มีหลายพิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก และพิมพ์คะแนน คำนิยามสำหรับพระซุ้มกอว่า มีกูไว้แล้วไม่จน ส่วนพระพุทธคุณ ของพระกำแพงซุ้มกอ คือ เป็นยอดทางเมตตามหานิยม โภคทรัพย์ โชคลาภเป็นสิริมงคล ไม่มี สิ่งใดทำลายล้างได้

วิธีใส่ราหนึ่งในกระบวนการทำให้ดูคล้ายพระเก่า
เรียนรู้เรื่องพระเครื่องนครชุม

ในปัจจุบัน สำหรับคนที่ไม่ใช่เซียนพระ หรืออยู่ในวงการพระเครื่อง อาจจะหาชมพระเครื่องของเมืองนครชุมได้ยากเสียหน่อย แต่หากว่ามาที่ แหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุม ก็จะได้เห็นพระเครื่อง รวมถึงกระบวนการทำพระเครื่องให้เหมือนกับของเก่าอีกด้วย

แหล่งเรียนรู้แห่งนี้ เริ่มต้นขึ้นมาจาก สมหมาย พยอม ผู้มีถิ่นฐานอยู่ในเมืองนครชุม และคลุกคลีอยู่ในวงการพระเครื่อง ด้วยความที่มีใจรัก จึงศึกษาและจดจำวิธีการทำพระเครื่องจากช่างพระเครื่องในกำแพงเพชร แล้วนำมาทดลองทำพระซุ้มกอได้เป็นอันดับแรก

ในปี พ.ศ.2551 ก็ได้จัดตั้งแหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุมขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่สนใจในเรื่องวิธีการทำพระเครื่อง ซึ่งภายในแหล่งเรียนรู้ก็จะมีสมาชิกที่คอยสาธิตกระบวนการทำพระเครื่องในขั้นตอนต่างๆ ให้ได้ชม

สำหรับการทำพระเครื่อง หรือพระพิมพ์นั้น เริ่มจากการนำดินที่ได้มาทุบ แล้วหมักไว้ 1 คืน จากนั้นก็นำดินมานวดให้นิ่มพอดี ไม่แข็งหรือเหลวเกินไป ถัดมา ให้นำแป้งมาโดยที่แม่พิมพ์พระ เพื่อที่เวลากดดินลงกับแม่พิมพ์แล้วดินจะได้ไม่ติดกับแม่พิมพ์ และสามารถนำดินออกมาได้ง่าย โดยแม่พิมพ์พระที่ใช้ก็ได้มาจากการจำลองจากพระเครื่องนครชุมของแท้ ที่เป็นของเก่าของแก่ จึงทำให้พระพิมพ์ที่ทำออกมานั้นมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับของเก่ามากทีเดียว

พระพิมพ์ที่ใส่คราบเรียบร้อยแล้ว
เมื่อกดดินลงกับแม่พิมพ์จนดินขึ้นเป็นรูปแล้ว ก็นำออกมาใส่ถาด พึ่งลมไว้ในร่มประมาณจนแห้ง และนำออกตากแดดให้แห้งสนิท ต่อด้วยการนำพระไปเผาที่เตาประมาณ 24 ชั่วโมง ซึ่งจะต้องคอยเติมถ่าน และควบคุมไม่ให้ไฟแรงเกินไป ครบกำหนดเวลาแล้วก็นำพระออกจากเตา นำมาวางเรียงเพื่อใส่รา ใส่คราบพระ สุดท้ายให้นำใบตองแห้งของกล้วยน้ำว้ามาขัด ก็จะได้พระเครื่องนครชุมที่ดูคล้ายของเก่าแก่

พระเครื่อง หรือพระพิมพ์ ที่ได้มานั้น ทำให้คนรุ่นปัจจุบันได้ศึกษาตั้งแต่ความเป็นมาตั้งแต่สมัยก่อน จนมาถึงกระบวนการทำพระในสมัยนี้ ที่ยังคงความงามตามภูมิปัญญาดั้งเดิมของชนชาวไทย และยังคงสืบสานพุทธศิลป์ที่สวยงามนี้ไว้ต่อไป

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุม ตั้งอยู่ที่ 066 หมู่ 3 ซอยชากังราว ต.นครชุม อ.เมือง จ.กำแพงเพชร เปิดให้เข้าศึกษาดูงานเป็นหมู่คณะ โดยสามารถติดต่อได้ที่ 08-9641-2543 ทางศูนย์เปิดบริการทุกวัน