Tuesday 26 April 2011

FEED | Webstagram - Instagram Web Viewer

FEED | Webstagram - Instagram Web Viewer

cool!

5 วิธีในการ tweet เพื่อธุรกิจขนาดเล็ก « thumbsup

5 วิธีในการ tweet เพื่อธุรกิจขนาดเล็ก « thumbsup

5 วิธีในการ tweet เพื่อธุรกิจขนาดเล็ก

หมวดหมู่: ข่าวเทศ ป้ายคำ: , , ,

คงไม่มีใครปฎิเสธความร้อนแรงของ Twitter ว่า ณ นาทีนี้มันได้กลายเป็นอีกหนึ่งในช่องทางการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตของคนนับ ล้านคนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ความคิดส่วนตัวในแบบ Personal branding จนถึงเรื่องธุรกิจ วันนี้เลยมี 5 เทคนิคในการ tweet แบบง่ายๆ มาฝากกัน ถึงคุณจะเพิ่งเริ่มต้นใช้ Twitter หรือเป็นมือโปรฯ แล้ว เรามีวิธีการปรับปรุงให้คุณใช้ Twitter ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการทวีตเพื่อธุรกิจอย่างไรให้น่าสนใจมากขึ้น

1. เล่นด้วยภาพ

ถ้าคุณพูดไม่เก่ง นึกคำไม่ค่อยออกจะพิมพ์จะเขียนอะไรดี ก็เริ่มจากการแชร์รูปหรือวิดีโอก่อน การทวีตด้วยภาพ อย่างภาพข้างบนนี้เป็นภาพ Gregory’s Coffee ร้านกาแฟเอสเปรสโซ่ที่มีสาขาอยู่ 3 แห่งในนิวยอร์ค ในแต่ละวันทางร้านจะคอยจัดการ Twitter อยู่ตลอดด้วย การอัพโหลดภาพเบื้องหลังในการออกแบบลายกาแฟ ภาพในบาร์และทีมงาน ทำให้ภาพที่ออกไปดูอบอุ่น เป็นกันเอง ชวนให้คนเข้ามาลิ้มลองกาแฟกันได้ตลอดวัน

สมัยนี้แบรนด์ต่างๆ หันมาสนใจใช้แอพพลิเคชั่นแชร์ภาพบนมือถือเพื่อจุดประสงค์ทางการตลาดกันมาก ขึ้น แอพพลิเคชั่นอย่าง Instagram, PicPlz หรือแอพฯ ของคนไทยอย่าง Molome ทำให้คนที่ถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนสามารถแชร์ภาพ ตัดต่อภาพ ใส่ฟิลเตอร์และทำให้ภาพออกมาน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

2. เจอตัวเป็นๆ กันบ้าง

เทคโนโลยีด้าน Social อย่าง Twitter มีไว้เพื่อเชื่อมต่อคนให้ “ต่อกันติด” แต่บางทีการอยู่แต่บนโลกดิจิตอลโดยไม่เคยเจอตัวเป็นๆ กันเลยก็คงไม่ดี การได้เจอตัวจริงกันมันทำให้เรารู้สึกว่าได้ต่อกันติดจริงๆ แนะนำว่าคุณลองไปงานด้านเทคโนโลยีที่ชวนคนใช้ Twitter มารวมตัวกันสิ คุณจะเห็นเขายืนล้อมวงกันแล้วใช้แอพฯ Bump มาแลกเปลี่ยนคอนแทคกัน อย่างในเมืองไทยก็มีการจัดงานให้คนที่ใช้ Twitter คุยกันอยู่เป็นประจำไปเจอกันตามงาน อย่างเร็วๆ นี้ก็จะมีงานของทางเนชั่น หรือไปฟังเพลงของวง iHere ที่ร้านวาวี อย่างกรณีหลังนี่ ถ้าไปถึงร้านแล้วก็ช่วยกัน Check-in ด้วย FourSquare หรือ Facebook ก็จะทำให้ Timeline คุณดูมีสีสันมากยิ่งขึ้น

3. ทำความรู้จักกันในแบบ “ส่วนตัว” มากขึ้น

ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านเล็กๆ อยากหัดทวีต แรกๆ ก็ลองชวนคนบน Twitter คุยเรื่องสัพเพเหระ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเจ้าของร้านเล็กๆ เหมือนกันกับคุณ คุณจะพบเจ้าของร้านที่มีความสนใจหรือชอบที่จะแชร์เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขณะที่เขาหรือเธอตั้งร้านขึ้นมา คุณจะได้เรียนรู้ว่าเขาเริ่มต้นมาได้อย่างไร เขามีไอเดียอะไร เติบโตมาได้อย่างไรในแต่ละปี ผ่านเรื่องดีร้ายอย่างไรมาบ้าง และเวลาคุณทวีต จะใส่ความประทับใจส่วนตัว หรืออะไรที่มีชีวิตชีวาเข้าไป เป็น Human touch ก็จะได้อารมณ์มากขึ้น

ลองดูตัีวอย่าง อย่างร้าน Boloco ร้าน Burrito ในเมืองบอสตัน ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เปิดตัวในปี 1997 ร้านนี้ก็ใช้ Twitter ทำการตลาดเล็กๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะให้คนเข้ามาตอบคำถามต่างๆ แล้วดึงให้เข้ามาคลิก Follow เป็นแฟนของร้าน และ engage ลูกค้าด้วยการ จัดงานน่ารักๆ ที่ร้าน อย่างการที่มีคู่รักไปจัดงานหมั้นกันในร้าน Boloco location พอหมั้นกันปุ๊บ ทางทีมงานก็ทวีตฉลองให้แฟนๆ ทราบกัน เป็นการสร้างอารมณ์ร่วมให้แฟนๆ รู้สึกดีกับแบรนด์

4. สร้างแรงบันดาลใจ

จะทวีตคมๆ เท่ๆ ตลอดเวลาคงยากเหมือนกัน แต่วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลก็คือการทวีตที่ให้แรงบันดาลใจกับคนอื่น สำหรับธุรกิจ SME สิ่งแรกควรจะทำก็คือเวลาใคร mention หรือกล่าวถึงคุณบน Twitter อย่าลืมไป Retweet ทุกครั้ง และพยายามดึง ‘กระแสบวก’ ไว้กับแบรนด์ มันจะสุดยอดมากๆ เวลาคุณได้รับ Retweet จากแบรนด์ที่คุณรู้สึกดีด้วยใช่ไหม? แค่ Retweet ไม่ยากเลย

มีตัวอย่างมาให้ดูกัน Trapp Family Lodge รีสอร์ตขนาด 2,500 เอเคอร์แห่งหนึ่งใน Vermont ใช้เวลาส่วนใหญ่บน Timeline ของตัวเองในการ retweet ลูกค้าที่ชอบบริการของทางรีสอร์ต และว่าที่ลูกค้าที่กำลังจะไปพัก เมื่อลูกค้าพูดถึง Trapp Family Lodge ในทางที่ดี รับรองว่าคุณจะได้เห็นบน Twitter ของทีมงานแน่นอน เป็นการสร้างกระแสทางบวกได้อย่างหนึ่ง

5. มีคุณค่าในตัวเอง

Twitter เป็นเรื่องของ “คุณค่า” คนมา Follow คุณเพราะคุณมีคุณค่าบางอย่าง อาจจะเป็นเพราะคุณสามารถให้ exclusive deals ที่หาที่ไหนไม่ได้ จะเป็นการแจ้งข่าวเรื่องการแข่งขัน หรือหาคนช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคุณค่า ถ้าลดราคายากไป ก็คอยตอบคำถามลูกค้าได้ อันนี้เป็นการเริ่มต้นง่ายๆ แต่ได้ผล

ตัวอย่างอย่างร้าน Face Place สปาที่ตั้งอยู่ในเมืองลอสแองเจลิส และนิวยอร์ค ส่วนใหญ่จะทวีตให้วิธีการดูแลผิวหนังวันละครั้ง หรือวิธีการทำความสะอาดหน้า หรือเรื่องผลกระทบของระดับน้ำตาลในเลือดกระทบกับผิวอย่างไร และอาหารชนิดไหนที่มี omega-3 เยอะ อันไหนดีกับผิว อันไหนไม่ดี

ดังนั้นการทวีตพวก tips หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณในทางใดทางหนึ่ง followers จะพบว่าคณมี “คุณค่า” และคอย Follow คุณอยู่เรื่อยๆ

แล้วคุณล่ะ ใช้ Twitter อย่างไร? ใช้กับธุรกิจของคุณอย่างไร ทำอย่างไรให้การทวีตของคุณน่าสนใจมากขึ้น แชร์กันหน่อยไหมครับ

ที่มา: Mashable

jakrapong

Online media specialist with 10 years of experience, including product development, product marketing, organization development, and strategy. Used to work in various kinds of media such as, radio broadcasting, newspaper, magazine, yellow pages, and keep doing Online media. Previously, was a part of Yahoo! Southeast Asia, based in Singapore. Served as product management person of community products for all Southeast Asian countries.

Twitter - More Posts

The Royal Wedding

The Royal Wedding
an official site

KHOBKHUN-THAILAND.com

KHOBKHUN-THAILAND.com
เสื้อผ้าเด็ก น่าสนใจ

Life & Family - Manager Online - มาดูแล เท้า ให้ญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยเบาหวานกันเถอะ

Life & Family - Manager Online - มาดูแล เท้า ให้ญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยเบาหวานกันเถอะ
มาดูแล "เท้า" ให้ญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยเบาหวานกันเถอะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 เมษายน 2554 12:05 น.

ขอบคุณภาพประกอบข่าวจาก http://www.sapaan.net
หากครอบครัวใดมี "ผู้สูงอายุ" ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เรื่องการดูแล "เท้า" เป็นเรื่องสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้ เพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเรื้อรัง หรือติดเชื้ออย่างรุนแรง และอาจลุกลามจนต้องเสียนิ้วเสียขากันได้ ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิดกับญาติผู้ใหญ่ในบ้านอันเป็นที่รักอย่างแน่นอน

วันนี้ทีมงาน Life & Family มีความรู้เรื่องการดูแลเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวานจากแผนกอารุกรรม รพ.สมุทรปราการมาฝากเป็นแนวทางกัน

สำหรับสาเหตุที่ผู้สูงอายุป่วยเบาหวานแล้วเกิดแผลได้ง่ายกว่าคนปกติ นั้น ส่วนใหญ่มีการตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวานมานาน และมีการเสื่อมของประสาทส่วนปลายที่ไปเลี้ยงมือ และเท้า ทำให้การรับความรู้สึกน้องลง เกิดอาการชา โดยเฉพาะนิ้วเท้า โอกาสเป็นแผลโดยไม่รู้ตัวย่อมเกิดได้ง่าย ซึ่งกว่าจะสังเกตพบ แผลอาจลุกลามไปมากแล้ว

เมื่อประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อขา และเท่าเสื่อม ส่งผลให้กล้ามเนื้อแฟบลง ทำให้รูปร่างของเท้าผิดปกติ นิ้วเท้าเริ่มงอ เท้ารับน้ำหนักไม่สม่ำเสมอ ส่วนบริเวณที่รับน้ำหนักมาก หรือถูกกดอยู่เป็นเวลานานจะหนาขึ้น เกิดเป็นตาปลา หรือเป็นแผล

นอกจากนั้น ผู้ป่วยเบาหวาน จะเกิดการไหลเวียนของเลือดที่ไปสู่ขาลดลง เนื่องจากผนังหลอดเลือดแดงหนาขึ้น ทำให้ขาดอาหาร และออกซิเจน ส่งผลให้ผิวหนังบางลง แผลหายช้า เกิดอาการปวดที่น่องเวลาเดิน ถ้าเป็นมากจนหลอดเลือดอุดตัน เนื้อเยื่อส่วนปลายจะตาย มีสีคล้ำดำขึ้นจนเป็นเหตุให้ต้องตัดนิ้ว หรือนิ้วแห้งดำหลุดไปได้

อย่างไรก็ดี ญาติผู้ใหญ่ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่นานจะเกิดการติดเชื้อง่าย โดยเฉพาะเชื้อราที่ผิวหนังระหว่างนิ้วเท้า ทำให้ผิวหนังถลอก และมีแผลเกิดขึ้น อาจมีเชื้อโรคที่รุนแรงตามมาได้

เมื่อรู้สาเหตุถึงการเกิดแผลที่เท้ากันแล้ว ทีนี้มาดูวิธีป้องกันการเกิดแผลบริเวณเท้ากันบ้าง ซึ่งมีข้อสำคัญ ๆ ดังแนวทางต่อไปนี้

1. บ้านที่มีญาติผู้ใหญ่ตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวาน ควรบอก หรือสำรวจเท้าของท่านทุกวัน เช่น มีรอยบวมแดง ผื่นคัน ตุ่มน้ำใส ขุยขาว ๆ ที่ซอกนิ้วเท้าหรือไม่ รวมไปถึงตาปลา และสีเล็บ

2. ทำความสะอาดเท้าทุกวัน โดยล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่ และน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่น ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัด หรือร้อนมากเกินไป และควรเช็ดเท้ารวมทั้งตามซอกนิ้วเท้าให้แห้งทุกครั้ง

3. นวดผิวหนังที่ขา และเท้าด้วยน้ำมันวาสลิน หรือโลชันเพื่อให้ผิวหนังนุ่ม ป้องกันผิวหนังแห้ง ลดอาการคัน และเกาจนเกิดเป็นแผลขึ้นได้

4. อย่าใช้มีด หรือของมีคมตัดตาปลา

5. ถ้าเท้ามีเหงื่อออกมามาก ต้องเช็ดให้แห้งเสมอ

6. ถ้ามีแผลเล็กน้อย ควรล้างด้วยน้ำสะอาด ห้ามใช้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรง หรือทิงเจอร์ไอโอดีน เพราะอาจทำให้แผลถลอกมากขึ้น ซึ่งถ้าแผลใหญ่มีลักษณะบวมแดง ต้องรีบปรึกษาแพทย์ให้เร็วที่สุด

7. ลูก ๆ หลาน ๆ เวลาตัดเล็บให้ท่าน ควรตัดเล็บในที่สว่าง และเห็นได้ชัด ซึ่งควรตัดเล็บภายหลังอาบน้ำ เพราะเล็บจะนุ่ม ตัดง่ายขึ้น วิธีการตัด ควรตัดตรง ๆ ไม่ควรตัดสั้นเกินไป เพราะหากตัดสั้น และลึก จะพลาดเอาเนื้อจนเกิดเป็นแผลได้ง่าย

8. ใส่ถุงเท้าที่สะอาด และไม่ใช้ถุงเท้าที่รัดเกินไป เพราะจะทำเลือดไปเลี้ยงเท้าไม่สะดวก

9. การเลือกรองเท้าให้ท่าน ควรเลือกรองเท้าที่นุ่ม ใส่สบาย ระวังถ้าต้องใส่รองเท้าคู่ใหม่ ไม่ควรให้ท่านเดินเกินครึ่ง-1 ชั่วโมง และควรมีรองเท้าสำรอง 2-3 คู่ที่เหมาะสมไว้สำหรับสับเปลี่ยน

10. ไม่ควรเดินด้วยเท้าเปล่า และควรสวมรองเท้านุ่ม ๆ พื้นรองเท้าทำด้วยวัสดุกันลื่นขณะอยู่ในบ้าน

11. อย่าวางกระเป๋าน้ำร้อน หรือน้ำอุ่นไว้ที่เท้า ถ้าเท้าเย็นเวลานอนบอกให้ท่านใส่ถุงเท้า และควรเป็นถุงเท้าที่ไม่รัด

12. พยายามอย่าให้ท่านนั่งไขว้ขา เพราะจะไปกดเส้นเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่สะดวก

13. ควบคุมเบาหวานให้ดี รักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ระหว่าง 90-150 มก./ดล.

14 การบริหารเท้าอย่างถูกวิธี เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังเท้า เป็นสิ่งที่ควรบอก หรือทำให้ท่านบ่อย ๆ ซึ่งทำได้ง่าย ๆ โดยการเดินทุกวัน อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมง นอกจากเดินแล้ว ยังมีท่าบริหารต่าง ๆ ที่จะแนะนำต่อไปนี้

เริ่มจากการบริหารขาด้วย "ท่าแกว่งลูกตุ้มนาฬิกา"

บริหารขาด้วยท่าแกว่งลูกตุ้มนาฬิกา
- ยืนตรงใช้มือจับโต๊ะ หรือสิ่งที่ตรึงกับที่ป้องกันลื่นล้ม

- แกว่งขาไปข้างหลัง ไม่งอเข่า

- แกว่งขาไปข้างหน้า ไม่งอเข่า และพยายามยกขาให้สูงเท่าที่จะทำได้ เกร็งขาแล้วนับ 1 ถึง 10

- พอนับเสร็จให้แกว่งขาไปข้างหลังโดยไม่ต้องเกร็งขา และไม่ต้องนับ 1 ถึง 10

การบริหารน่อง

ท่าบริหารน่อง
- นั่งบนเก้าอี้

- ยกเท้าให้สูงจากพื้นเล็กน้อย แล้วเหยียดเท้าตรง

- เกร็งปลายนิ้วเท้าให้ชี้เข้าหาตัว โดยให้ส้นเท้าชี้ออกไปข้างหน้า เกร็งกล้ามเนื้อที่น่องแล้วนับ 1 ถึง 10

- คลายกล้ามเนื้อที่น่องทำสลับกัน

การบริหารข้อเท้า กล้ามเนื้อหลังเท้า และฝ่าเท้า

ท่าบริหารข้อเท้า กล้ามเนื้อหลังเท้า และฝ่าเท้า
- นั่งเก้าอี้ เหยียดเท้าตรง ยกสูงจากพื้นเล็กน้อย

- หมุนเฉพาะข้อเท้า ให้ปลายเท้าหมุนเป็นวงกลม ระวังอย่าหมุนเท้าจากหัวเข่า

- หมุนปลายเท้าเป็นวงกลม ทวนเข็มนาฬิกา และตามเข็มนาฬิกา ปฏิบัติทีละข้าง หรือจะหมุนเท้าพร้อมกันทั้ง 2 ข้างก็ได้

ส่วนการบริหารท่าสุดท้าย เป็น "ท่าเขย่งปลายเท้า" โดยยกขึ้นลง 6-12 ครั้ง พยายามให้ท่านทำหรือทำให้ท่านอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีโอกาส

ดังนั้น ครอบครัวที่มีญาติผู้ใหญ่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระวังรักษา "เท้า" ให้ดี เพราะถ้าหากละเลยอาจลุกลามถึงต้องเสียนิ้ว หรือเสียขาไปเลยก็ได้..ในวันนี้ในฐานะลูก ๆ หลาน ๆ คุณเอาใจใส่ และสำรวจเท้าของท่านดีพอหรือยัง

Sunday 24 April 2011

วิธีทำ wordpress MU หรือ wpmu 3.1

http://www.tkung.co.cc/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3-wordpress-mu-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD-wpmu-3-1/

วิธีทำ wordpress MU หรือ wpmu 3.1

วิธีทำ wpmu
วิธีทำ wpmu
ขั้นตอนตินตั้ง multi site wp 3.1 บางคนที่ต้องการทำ wordpress ให้เป็น WPMU นั้นเราเองก็ลง wordpress ปกติแหละครับ แต่ wpmu สามารถทำให้เราทำซับโดเมนได้หลายๆโดเมน อาจจะเอาไปทำเว็บให้บริการบลอกฟรี หรือเว็บขายสินค้าก็ได้ครับ เพียงแต่ปรับค่าในสคิปและโฮสนิดหน่อยนะครับ สำหรับใครที่ต้องการรู้วิธีวิธีทำ wordpress MU หรือ wpmu ก็ลองเข้ามาตั้งค่าดูนะครับ ไม่อยากอย่างที่คิดครับ วิธีทำ wordpress MU ไม่ยากอย่างที่คิดครับ ลองทำ wpmu ตามขั้นตอนนะครับ
1. ติดตั้ง wp 3.1 ให้เรียบร้อย ยังไม่ต้องแก้ไขอะไร
2. login เข้าเว็บ ไปที่เมนู Settings >> General ตั่งค่าเว็บให้เป็น http://yourdomain.com แล้วเซฟมันจะให้เรา login ใหม่
3. ไปสร้าง subdomain ที่ control panel ให้เป็นแบบนี้นะครับ ใส่ * แทนชื่อ subdomain ก็จะเป็น *.yourdomani.com ที่ subdomain
4. โหลดไฟล์ wp-config.php จาก host แล้ว เปิดไฟล์ขึ้นมา
หาบรรทัด
โค๊ด: [Select]
define(‘DB_COLLATE’, ”);
นำโค้ดนี้ไปวาง ต่อจากบรรทัดโค้ดที่หา
โค๊ด: [Select]
define(‘WP_ALLOW_MULTISITE’, true);เสร็จแล้วทำการเซฟ แล้วอัฟทับไฟล์เดิมที่ host
5. login เว็บของท่าน มองหาเมนู Tool จะเห็นเมนูย่อยชื่อ network คลิกเลย จะเห็นข้อมูลเพื่อ install multi site
ก่อน install มันจะมีเมนูให้เลือก 2 อัน ให้เราเลือก เอาอันใดอันหนึ่ง
- สร้าง แบบ subdomain Ex. >> http://sub.youdomain.com
- สร้าง แบบ dictionary Ex. >> http://www.youdomain.com/dictionary
ให้เลือกเอาอย่างใด อย่างหนึ่ง ถ้าเลือก แบบ dictionary ไม่ต้องทำข้อ 3.ข้างบน เสร็จแล้วเราก็กด install ได้เลย
รอสักคูร่ จะมีหัวข้อใหม่ขึ้นมา 3 ข้อ
ข้อ 1 บอกให้ไปสร้าง directory ชื่อ blogs.dir ข้างใน wp-content ที่ host แล้วทำการ chmod 777
ข้อ 2 นำโค้ดที่อยู่กรอบสี่เหลี่ยมไปใส่ใน wp-config.php ต่อจากบรรทัด ในข้อที่ 4. ข้างบน
ทำการเซฟ แล้ว up ทับของเดิมที่อยู่ใน host
ข้อ 3 นำโค้ดที่อยู่กรอบสี่เหลี่ยม ไปไว้ในไฟล์ .htaccess แล้ว up ขึ้น host ไว้ใน root
เมื่อทำเสร็จทั้งสามข้อ เลื่อนลงมาข้างล่างมันจะมีข้อความบรรทัดหนึ่ง กดที่ปุ่ม login
แล้วลองเข้าเว็บท่าน ถ้าเข้าได้ปกติ แสดงว่าผ่าน หลังเว็บต้องมีเมนู super Admin เพิ่มขึ้นมา
สำหรับท่านต้องการความง่าย สามารถลง wordpress plugin multi site แต่มันจะมีปัญหาการทำ multi db ถ้าใช้ plugin multi site
Download plugin :
โค๊ด: [Select]
http://wordpress.org/extend/plugins/wordpress-multi-site-enabler-plugin-v10/
ปล.กรุณาอ่านทุกคำ ทุกบรรทัดก่อน
จบครับ

wordpress mu คืออะไรครับ ต่างจาก wp ธรรมดายังไง

http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=69510.0

How to Completely Delete BuddyPress From Your WordPress Site

http://wpmu.org/how-to-completely-delete-buddypress-from-your-wordpress-site/
So maybe you tried BuddyPress and it just wasn’t what you needed. It’s great to experiment, but now you want to completely remove it from your site. Unfortunately, this is no small task. In this tutorial we’ll walk you through the process of completely removing all traces of BuddyPress from your WordPress site.

Step 1: Deactivate and Delete all plugins that require BuddyPress.

There are a few reasons for this. If you delete BuddyPress before the plugins that depend on it, you can get blank pages and break your site if the plugin isn’t using BuddyPress best practices. Also, you’ll no longer need the plugins that can’t run without BuddyPress, so it’s best to delete them to avoid your site becoming bloated with unnecessary plugins.

Step 2: If you’re using a BuddyPress-specific theme, deactivate it and activate a regular WordPress theme.

This step will help you to avoid white pages when you deactivate the BuddyPress plugin.

Step 3: Deactivate BuddyPress and Delete the plugin files.

Now you should be safe to deactivate BuddyPress. Delete all of its files after you’ve deactivated it. You should be able to do this by clicking on the delete button when it appears in your deactivated plugins list.

Step 4: Remove all BuddyPress tables from your database.

This step is more advanced and should not be attempted unless you are comfortable using PHPMyAdmin. It is the only way to completely remove BuddyPress from your site. Make sure you make a backup of your site before doing anything to your database. If you make a mistake in there you can screw everything up forever.
Open up your WordPress database using phpMyAdmin. Remove all of the tables that start with the wp_bp_ prefix. Here’s a screenshot, courtesy of the BuddyPress codex:

Check all the tables with the BuddyPress prefix and then select “Drop Tables” from the drop down at the bottom. Click go.
If you’ve completed all of these steps, then you have removed every last trace of BuddyPress from your WordPress site. Reward yourself with a beer. :)
For more information, please reference the BuddyPress codex page on deleting BuddyPress.

75 เคล็ดไม่ลับ วิธีโปรโมทเว็บ หรือ บล็อค ให้ดังสุดๆๆๆๆ

« เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 12:52:33 AM »

 แวะไปเห็นเว็บนึงรวมข้อมูลไว้ดีมาก ขออนุญาตินำมาเผยแพร์ต่อ ถึงวิธีการโปรโมตเว็บ หรือ blog ซึ่งว่าผมเขียนได้ ชัดเจนดีมาก และนอกจากใช้โปรโมต Blog แล้วมันยังสามารถ นำมาใช้โปรโมตเว็บได้อีกด้วย หากเราทำตาม 75 ข้อนี้ โอกาสเว็บเราคนเข้าเยอะ เป็นไปได้ไม่ยากเลยครับ

   1. ถ้าคุณเพิ่งทำเวบใหม่สดๆเลย ก็เขียนบทความอะไรซักหน่อย แล้วไปส่งที่ Digg.com, Reddit.com, และ Now Public.com
   2. สร้าง Yahoo Group เกี่ยวกับเรื่องของเวบเรา
   3. สมัคร MySpace แล้วใช้มันช่วยโปรโมท
   4. บุ๊คมาร์คเวบเราที่ Del.icio.us และถ้าคุณมีกึ๋นซักหน่อยนะ ก็ใส่ปุ่ม Del.icio.us ไว้ในเวบของคุณด้วย
   5. สมัคร Technorati แล้วก็ "claim" Blog ของคุณซะ (อย่าลืมใส่ปุ่ม ไว้ที่เวบ)
   6. submit เวบของคุณที่ directories ที่เป็น seach engine friendly แบบฟรีๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น Info Vilesilencer
   7. ทำแบบสำรวจ นี่เป็นวิธีที่ดีที่จะโปรโมทแบบ offline (มีใครเคยทำมั้ยง่ะ - -a)
   8. ไปลงโฆษณาฟรีสำหรับบริษัทของคุณที่ Gumtree
   9. ใช้ RSS feeds
   10. submit RSS feeds ของเราตาม FeedBurner, Squidoo, Feedboy, Jordomedia, FeedBomb, FeedCat, rssmad, feedirectory, และ Feedboy
   11. เขียนบทความที่เกี่ยวกับเวบของคุณ แล้วส่งไปตาม article sites
   12. สมัคร StumbleUpon แล้วเรียกเพื่อนๆมาช่วย Stumble
   13. สร้างหน้า 404 ของตัวเองไว้ เผื่อว่าคนเข้ามาเจอ error ก็จะ redirect ไปที่อื่นๆที่ดีๆ
   14. สร้าง 301 redirect เพื่อจะ redicrect traffic ของคุณจาก non-www มาที่ www ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
   15. ใส่ลิ้งของเวบคุณไว้ใน signature ของเวบบอร์ดที่คุณเป็นสมาชิก
   16. บอกเพื่อนๆเกี่ยวกับเวบของคุณ (มันเป็นหารโฆษณาฟรีๆน่ะ)
   17. ตรวจคำผิดในเวบของคุณด้วย!
   18. เช็คเวบของคุณ browser หลายๆอัน
   19. ซื้อโฮสต์ที่ดีพอ ไม่มีใครชอบเวบที่เป็นเต่าคลาน
   20. ไม่ต้องกังวลกับ PageRank ไปหาทางโปรโมทดีกว่านะ เดี๋ยว PageRank มันก็ดีตามเอง
   21. แจกของฟรี !! คนส่วนมากจะบอกต่อ เมื่อมีของฟรี
   22. บอกเพื่อนบ้านของคุณ (- -a)
   23. บอกวิธีที่จะติดต่อคุณให้มากที่สุด msn email yahoo skype เบอร์โทร ที่อยู่
   24. ลงโฆษณากับ Craigslist มันฟรี และก็ดีใช้ได้
   25. อย่าใช้ Frames
   26. Submit เวบที่ DMOZ.org มันอาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย แต่ก็คุ้ม
   27. สร้าง Site Map ให้กับเวบของคุณ แล้วส่งให้ Google
   28. ทำเสื้อขึ้นสกรีน URL เวบคุณลงไป แล้วก้ใส่มันบ่อยๆด้วย (อืม..คิดได้เนอะ - -")
   29. เอาไปให้สาวสวยหุ่นเร้าใจใส่ด้วยซักตัว *-*
   30. สมัคร Affiliate program เพื่อขายสินค้าของคุณ หรือว่าถ้าคุณเป็น Publisher ก็โกยเงินกัน!!
   31. ในหน้า contact ถามด้วยว่า คุณสนใจจะรับ Newsletter มั้ย
   32. ส่ง Newsletter !!
   33. เข้าร่วมสัมมนาคนทำเวบ คุณอาจจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็ได้
   34. หา Blog ดีๆ ดังๆ แล้วก็ไปตอบคอมเม้นไว้ (ใส่ลิ้งเวบคุณด้วยล่ะ)
   35. อย่าจ้างคนให้ submit search engines ให้ เสียตังค์เปล่าๆ เพราะอันที่ดังๆมีแค่ Google 50% Yahoo 25% และ MSN 10%
   36. ส่งคลิบเข้าพร้อมกับชื่อเวบคุณในคลิบ ที่ YouTube กับ Google Video
   37. แจกฟรี e-book แล้วเวบคุณจะเป็นที่ฮือฮา
   38. แจก Wordpress Theme, Blogger Theme, หรือ phpLD themes
   39. ถ้าคุณขายของที่มีโฆษณาในทีวี เขียนในเวบคุณด้วยว่า "แบบที่เห็นในทีวี"
   40. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยีที่ไฮโซเกิน เช่น Java หรือ Active x
   41. แจกของให้โหลดได้ ระวังลิขสิทธิ์ด้วย
   42. เรียนรู้ CSS
   43. ตอบคอมเม้น ยิ่งถ้าเป็น Blog ตอบบ่อยๆ
   44. ขอให้เวบอื่น หรือ Blogger คนอื่นๆ ช่วย review เวบคุณ หรือว่า สินค้าก็ได้ (แลกกัน review ก็ดี)
   45. ใช้ชื่อ page ที่มีความหมาย เช่น www.YoutDomain.com/keyword/keyword ">www.YoutDomain.com/keyword/keyword ไม่ใช่ www.yourdomain.com/pgInfoPages.cfm?cx=50799399822 ">www.yourdomain.com/pgInfoPages.cfm?cx=50799399822
   46. ถ้าคุณจำเป็นจะต้องมี Flash ที่หน้าแรก อย่าลืมใส่ปุ่ม skip ด้วย
   47. บอกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หรือ วารสารประจำโรงเรียนเกี่ยวกับเวบของคุณ บางทีถ้าเค้าไม่มีเรื่องจะเขียน หน้าของคุณอาจจะไปโผล่ในนั้นก็ได้
   48. จงดังในหมู่คนที่เขียนเรื่องเดียวกัน
   49. บริจาคเพื่อการกุศล แล้วส่วนมากเค้าจะใส่ลิ้งแบคให้คุณ
   50. ปฏิบัติตามกฏของ W3C standards มันจะช่วยให้คุณอยู่รอดได้ในระยะยาว
   51. ทีมกีฬาในโรงเรียน หรือในชุมชน ให้โอกาสคุณเป็น sponsors ในราคาถูกและดี
   52. โปรโมทเวบตามบอร์ดต่างๆ แต่อย่าสแปม
   53. ขอให้ Blogger เขียนเกี่ยวกับเวบของคุณ โดยแลกกับลิ้งแบค
   54. จัดการประกวดแข่งขันขึ้นมาในเวบ
   55. ใส่ปุ่ม "ส่งต่อให้เพื่อน"
   56. มี site map ในเวบของคุณ เพื่อช่วยผู้เข้าชม และsearch engine
   57. ตั้งชื่อที่มีคีย์เวิร์ดตรงๆ ทั้งผู้อ่านและ search engine ชอบ
   58. ใส่ปุ่ม FeedBurner ในเวบด้วย คนอ่านจะได้สมัครได้ง่ายๆ
   59. Adwords เป็นทางเลือกที่ดี ถ้าคุณใช้มันเป็น
   60. ใส่ About Me ใน Blog ผู้อ่านจะรู้สึกว่ามี'คน'ที่กำลังสื่อสารกับเค้า
   61. สร้างหน้าเวบ แบนเนอ และโลโก้ไว้บนเวบ เพื่อว่าใครจะเอาไปตีพิมพ์ หรือเอาไปแปะในเวบ
   62. ใส่ลิ้งมาที่เวบคุณจาก ebay profile
   63. ขอให้เพื่อนของคุณช่วยวิจารณ์เวบแบบตรงๆ
   64. E-books ที่มี reseller rights เป็นของแจกที่ดีอย่างนึงสำหรับเวบคุณ
   65. submit รูปที่ Flikr
   66. แชร์ banner ที่ เวบแลกเปลี่ยน banner
   67. ตอบอีเมลล์ของลูกค้าให้เร็ว ไม่มีใครชอบรอ 3-4 วันกว่าจะได้รับคำตอบ
   68. Keep It Simple Stupid (KISS) ใช้ CSS ในการวาง layout และ html text อย่าลวดลายมาก
   69. อย่าใส่รูปเยอะมากจนเกินไป จะทำให้โหลดช้า
   70. ถ้าคุณคิดว่าจะ submit เยอะมากๆ สร้างเมลล์อันใหม่มาเพื่อการนี้ แล้วทิ้งมันไปซะเพื่อลดการ สแปม
   71. ใส่ Favicon ให้เวบคุณ จะได้โดดเด่นเวลา Bookmark
   72. เข้า Yahoo answer แล้วตอบคำถาม พร้อมกับใส่เวบของคุณเปน source
   73. อย่าซื้อ traffic มันจะมาแค่วูบเดียว แล้วจากไป
   74. ทำความรู้จักกับคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน เข้า community เป็นต้น
   75. เขียนบทความที่จะมีคนอยากลิ้งถึงมากๆ เช่น บทความนี้ไง แลบลิ้น

400+ Creative Business Card Design Inspiration | Logo Design Blog

400+ Creative Business Card Design Inspiration | Logo Design Blog

อัษฎา อาทรไผท อูคูเลเล่...ความเท่ที่คุณดีดได้ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อัษฎา อาทรไผท อูคูเลเล่...ความเท่ที่คุณดีดได้ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 17:39:17 น.

อัษฎา อาทรไผท อูคูเลเล่...ความเท่ที่คุณดีดได้





อู คูเลเล่ (ukelele) หรือที่หลายคนเรียกสั้น ๆ ตามชื่อเล่นของมันว่า อู้ค (uke) กลายเป็นเครื่องดนตรีสุดฮิตของคนรักเสียงเพลงของเมืองไทยไปแล้ว...

ไล่เรียงประวัติของเจ้าเครื่องดนตรี

ชิ้น นี้ดูจะพบว่า เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์สี่สายชิ้นนี้เป็นเครื่องดนตรีที่มาพร้อมกับกลิ่น ทะเลของฮาวาย เริ่มต้นมาจากการที่ผู้อพยพชาวโปรตุเกสนำเข้ามาเมื่อศตวรรษที่ 19 แล้วกษัตริย์ของฮาวายเกิดพอพระทัย เล่นส่งเสริมให้ชาวบ้านชาวช่องเล่น จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำเกาะนี้ไป

แต่กว่าจะเดินทางเข้ามาฮิตในบ้าน เรากลับใช้เวลาถึง 200 กว่าปีต่อมา อู้คถึงกลายเป็นเครื่องดนตรียอดฮิตที่คนรุ่นใหม่ต้องมีไว้เพื่อความคูล !

ความ ฮิปและฮิตของเจ้าเครื่องดนตรีชิ้นนี้ถูกตอกย้ำด้วยหลายปรากฏการณ์ ไล่มาตั้งแต่ปรากฏการณ์ดนตรีแนว ๆ ของ สิงโต นำโชค ที่นำอูคูเลเล่มาเล่นในเพลงของเขาที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง อย่างเช่น เพลง "ทิ้ง" และ "ฮู้ ฮู" จนมาถึงการจัดเทศกาล "ไทยแลนด์ อูคูเลเล่ เฟสติวัล" เทศกาลอูคูเลเล่ครั้งแรกของประเทศไทย ที่ลานพาร์คพารากอน ในวันที่ 12-13 มีนาคม 2554

คนที่จะมาบอกเล่าถึงกระแสนี้ได้ดีที่สุดคงจะหนีไม่พ้น "เจ้าพ่ออูคูเลเล่

เมือง ไทย" นั่นคือ อัษฎา อาทรไผท หนุ่มนักดนตรีแห่งวงโมลา โมล่า ซันชายน์ และเจ้าของร้านริบบี้ บูติก ที่ขายอูคูเลเล่เป็นล่ำเป็นสันที่ดิจิตอลเกตเวย์ในย่านสยาม เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า...



"กระแส การเล่นอูคูเลเล่เริ่มที่ผมนี่แหละครับ ที่จริงผมเห็นที่เมืองไทยนานแล้ว สมัยเรียนอยู่ประถมผมเห็นอู้คที่เซ็นทรัล ผมเคยไปซื้อมา เขาเรียกว่าคอร์ดน้อย มันไม่ใช่เครื่องดนตรี แต่มันเป็นกึ่ง ๆ ของเล่น เอามาเล่นแล้วไม่ค่อยเวิร์ก ผมเลยไม่สนใจ แล้วพอช่วงสักสิบปีที่แล้ว เพื่อนผมไปฮาวายแล้วก็ไปเอาอูคูเลเล่กลับมา ผมมาลองเล่นดูแล้วรู้สึกไม่เหมือนกับสมัยเด็ก มันเป็นเครื่องดนตรีจริง ๆ ก็เลยชอบ อยากได้ แต่ไม่รู้จะทำยังไงเพราะเมืองไทยยังไม่มี ก็เก็บเป็นความอยากไป จนเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ผมเดินทางไปญี่ปุ่น ไปที่ย่านขายเครื่องดนตรีก็มีร้านขายอูคูเลเล่เป็นเรื่องเป็นราว เลยเกิดไอเดียว่าเราน่าจะทำบ้าง เลยลองสั่งมาขาย"

ช่วงที่นำมาขายนี้ เอง จังหวะนั้นอัษฎาเป็นคอลัมนิสต์ของทาง "ดีไลฟ์ ประชาชาติธุรกิจ" เขาเลยเขียนเล่าเรื่องราวของเครื่องดนตรีจากฮาวายชิ้นนี้ผ่านบทความที่เขา เขียนเป็นประจำ จนพอจะเรียกได้ว่า "ดีไลฟ์ ประชาชาติธุรกิจ" เป็นสื่อแรกที่จุดประเด็นในความนิยมของดนตรีชนิดนี้

"ช่วงที่สั่งอู คูเลเล่มาขาย ผมก็เขียนเรื่องเครื่องดนตรีนี้ส่งไปทางหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ผมชอบเครื่องดนตรีชนิดนี้เลยอยากให้คนรู้จักไปด้วย ที่ประชาชาติธุรกิจเลยเป็นที่แรกและที่เดียวในการจุดประเด็นในเรื่องเครื่อง ดนตรี

อูคูเลเล่ ตอนเริ่มขาย คนรู้จักเป็นเฟอร์นิเจอร์ คนซื้อไปเป็นของแต่งบ้านก่อน (หัวเราะ) ตอนหลังเลยจัดกิจกรรม ใครสนใจก็มาร่วมกิจกรรมฟรี เราสอนเทคนิคการเล่นอูคูเลเล่ ทำอย่างนี้มา 2 ปี ก็มีเว็บไซต์ www.ukeclub.net เป็นเว็บที่ให้ความรู้ด้านอูคูเลเล่"

แล้วกระแสมาแรงเพราะศิลปินดังอย่างสิงโต นำโชค และลุลา...

"เมื่อ ปีที่แล้วมีการจัดประกวดอูคูเลเล่ชิงแชมป์ประเทศไทยขึ้น คนที่ได้แชมป์ คือ สิงโต นำโชค พอเขาได้แชมป์ปุ๊บก็ได้สัญญาออกเทป พอออกเทปก็เอา

อูคู เลเล่มาเล่นด้วยสองเพลง เพลงไหนไม่มีอูคูเลเล่ก็เอามาถือด้วย ทำให้คนรู้จักมากขึ้น แล้วผมก็เป็นเพื่อนกับลุลาด้วย ลุลาอยากเล่นดนตรีอะไรสักอย่าง ก็เลยแนะนำไปว่าให้เล่นอูคูเลเล่ดีกว่า ลุลาก็เล่น สรุปคือมีศิลปินสองคนที่ทำให้มันดังมากก็คือ ลุลา กับสิงโต นำโชค บวกกับกิจกรรม เว็บไซต์ ปากต่อปาก เฟซบุ๊กก็ช่วยเราเยอะ"

ถึงวันนี้อู้คกลายเป็นสินค้าขายดิบขายดีที่ร้านริบบี้ บูติกไปแล้ว

"ปี ที่แล้วเหมือนคนซื้อคือคนที่อยากเล่นจริง ๆ เก็บกดมานาน หาเล่นไม่ได้ แต่มาวันนี้พอผมมาเปิดร้านที่สยามก็มีคนรุ่นใหมสนใจเข้ามาดู มีคนตามเทรนด์เพิ่มขึ้นมา เรารับแบรนด์ที่น่า

เชื่อถือได้จากฮาวายมาขายประมาณ 20

แบ รนด์ แต่ตอนนี้เรายังกำหนดไม่ได้ว่าขายได้กี่ตัว เขาส่งมา 600 ตัว ก็ขาย 600 ตัว ถ้าหมดเร็วก็ตบยุงกันไป (หัวเราะ) เอามาลงขายก็ไม่ค่อยพอ อย่างตอนที่ขายรุ่นริบบี้ ซึ่งเป็นชื่อร้าน ราคาตัวละ 2,000 บาท ในตลาดทั่วไปสเป็กนี้ปกติต้องราคา 3,000-4,000 บาท ตอนนั้นสั่งมา 1,200 ตัว ขายหมดภายในสัปดาห์เดียว ราคาส่วนใหญ่อยู่ในหลักพัน ตอนนี้มีดีลเลอร์รับของจากร้านผมไปขายอยู่หลายจังหวัด อย่างเช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต นครปฐม หัวหิน ร้อยเอ็ด อุดรธานี มีประมาณ 20 ที่"

แม้ว่าตอนนี้อูคูเลเล่จะเป็นสินค้าที่ทำเงินได้มากมาย แต่อัษฎามองความเป็นไปในอนาคตว่า

"ผม มองว่าอีกไม่กี่ปีอูคูเลเล่จะกลายเป็นเครื่องดนตรีธรรมดาที่ใครก็มีได้ เหมือนกับกีตาร์ คือ ไม่ใช่จะเอาต์ แต่ก็ไม่ใช่กระแส อย่างไรก็ตามฝั่งพวกผมเริ่มต้นธุรกิจนี้จากความรักในเครื่องดนตรีชิ้นนี้ มากกว่าคิดถึงเรื่องการค้าขาย ก็คงจะเล่นและขายไปเรื่อย ๆ"

"ลุลา" มองกระแสอู้ค...

ศิลปิน ดังอย่างลุลา-กันยารัตน์ ติยะพรไชย ได้มองกระแสอูคูเลเล่ว่า "ถ้ามองในบ้านเรา มันคงคล้ายกันกับกระแสไอโฟนที่กำลังฮิตในขณะนี้ คือมันเป็นแฟชั่น

ที่ดูน่ารัก อย่างผู้หญิงส่วนใหญ่เห็นเครื่องเล่นดนตรีชนิดนี้แล้วจะชอบ เพราะมันเล็ก น่ารัก พกพาง่าย

ฝึกเล่นได้ง่าย..."

"...ส่วนกระแสโลกเกี่ยวกับอู้ค

ลุ ลามองว่ามันเป็นเรื่องซึมลึกที่มีมานานแล้ว ศิลปินดังอย่าง แจ็ก จอห์นสัน หรือ ซีอาวี ก็ใช้เครื่องดนตรีนี้บ่อย หรืออย่างในหนังดังอย่าง 50 First Dates (2004) หรืออย่าง Blue Valentine (2010) ก็มีอู้คปรากฏอยู่ในเรื่อง"

ฮิวโก-จุลจักร จักรพงษ์ (ตอนที่ 1) >>> ‘Old Tyme Religion’ จุดเริ่มต้นของความเป็นระดับโลก / พอล เฮง

Entertainment - Manager Online - Music Shines : ฮิวโก-จุลจักร จักรพงษ์ (ตอนที่ 1) >>> ‘Old Tyme Religion’ จุดเริ่มต้นของความเป็นระดับโลก / พอล เฮง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2554 18:00 น.

paulheng_2000@yahoo.com

''ผมพยายามที่จะทำเพลงเพลงแบบร็อกแอนด์โรลในยุคสมัยของฮิพฮอพ''

ข้างต้นเป็นบางถ้อยคำในการให้สัมภาษณ์สื่อของ ฮิวโก-จุลจักร จักรพงษ์ ซึ่งเป็นนักร้อง-นักเขียนเพลง (Singer+Songwriter) คนแรกของไทยที่มีอัลบั้มเพลงออกในตลาดอเมริกา ซึ่งถือเป็นตลาดเพลงโลกไปในตัว

ถึงจุดนี้ก็นับได้ว่า มาไกลเหลือเกินจากมาตรฐานของวงการเพลงไทยร่วมสมัย ตั้งแต่อุตสาหกรรมและธุรกิจดนตรีเกิดขึ้นมา ใครจะเชื่อว่า เด็กหนุ่มซึ่งมีหน่อเนื้อเชื้อราชนิกูลและเป็นลูกครึ่ง ซึ่งทำวงดนตรีร๊อคแอนด์โรลที่เล่นเพลงในแบบพ๊อพร๊อคกลิ่นอายดนตรีเซาเธิร์ นร๊อคยุคทศวรรษที่ 70 ของตะวันตก จะพาตัวเองทะลุเพดานมาไกลถึงเพียงนี้ ทั้งที่ไม่ใช่นักร้องหรือวงดนตรีที่อยู่ในขั้นพ๊อพสตาร์หรือโดดเด้งในฐานะ ซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย

วงสิบล้อ เป็นวงดนตรีที่เป็นภูมิหลังของเขาในเมืองไทย และบทเพลง ‘ความลับในใจ’ น่าจะ
เป็นบทเพลงฮิตที่สุดในตลาดเพลงกระแสหลักของเมืองไทย เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางการเมือง วงดนตรีที่ขึ้นเวทีร้องเพลงประท้วงทางการเมืองบนเวทีของพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตยในยุคของการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2548 หลังจากออกอัลบั้มชุดที่ 4 ‘เงินๆ ทองๆ’ ในนามวงสิบล้อ เขาก็ออกเดินทางไปหาแรงท้าทายของดนตรีที่อังกฤษ

คงไม่ต้องเท้าความกันมาถึงตัวตนของฮิวโกในฐานะคนดนตรีในเมืองไทย แต่มามองกันที่ตัวงานในอัลบั้มชุดแรกของเขาในฐานะโซโล่ อาร์ติสท์ หรือศิลปินเดี่ยวในชื่อสั้นๆ ว่า ฮิวโก (Hugo) กับงานชุด ‘Old Tyme Religion’

[1] ‘สายลม’ บทเพลงเหงาอ้างว้างทรงพลัง

‘สายลมพาเดินทาง แต่หัวใจฉันอยู่ที่เดิม
ใจมันร้องเวลามันนานนาน เมื่อไหร่สายลมจะเปลี่ยนทาง’

การกลั่นน้ำเสียงที่เค้นออกมาจากความรู้สึกอ้างว้างเหงารันทดอยู่ภาย ใน ถูกสื่อสารออกมาในท่อนฮุควนหมุนเวียนที่ดำเนินต่อเนื่องในบทเพลงนี้ ตอกย้ำลงไปด้วยการกรีดเสียงของเปียโนที่เล่นโดยคีย์บอร์ด ช่องว่างระหว่างโน้ตที่ก้องกังวานแปร่งหวานเศร้าในอณูดนตรี ช่วยตรึงให้อารมณ์ดำดิ่งลงไปอีกโสตหนึ่ง

บทเพลงนี้เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องภาษาไทยเพลงเดียวในอัลบั้ม และใส่เฉพาะอัลบั้มที่วางจำหน่ายในเมืองไทยเท่านั้น เพราะเข้าไปดูรายชื่อบทเพลงทั้งหมดของอัลบั้มที่จำหน่ายในต่างประเทศ ไม่มีบทเพลง ‘สายลม’ (Sai Lom) บรรจุอยู่

เมื่อมาดูถึงเนื้อร้องของ ‘สายลม’ ที่ฮิวโก เขียนเนื้อร้องออกมา สะท้อนถึงความเรียบง่ายทว่าลุ่มลึกของการเขียนภาษาที่ธรรมดาแต่แฝงสื่อนัยยะ อารมณ์ความรู้สึก และความหมายจากก้นบึ้งจิตสำนึกของตัวเองออกมาค่อนข้างมาก

‘เหมือนแมลงบินไล่หลอดไฟ
ร้องยังไงก็เข้าไม่ถึง
เกิดเป็นคนนอกอยากเป็นคนใน
ทุกก้าวที่เดินยิ่งไกลยิ่งห่าง
สายลมพาเดินทาง
แต่หัวใจฉันอยู่ที่เดิม
ใจมันร้องเวลามันนานนาน
เมื่อไหร่สายลมจะเปลี่ยนทาง
เคยคิดบ้างไหมว่าฉันไม่เต็ม
แต่ร้อยเปอร์เซ็นต์คือฉันรักเธอ
พออยู่ห่างไกลจะมองไม่เห็น
จะหนาวจะเย็นกับความเงียบเหงา
สายลมพาเดินทาง
แต่หัวใจฉันอยู่ที่เดิม
ใจมันร้องเวลามันนานนาน
เมื่อไหร่สายลมจะเปลี่ยนทาง...’

ความโดดเด่นของบทเพลงนี้ก็คือ นำดนตรีในแนวบัลลาดร๊อคกลิ่นอายไพรัชหรือเอ็กโซติคที่มีความประหลาดลอยฟุ้ง ผ่านเสียงสังเคราะห์อยู่ในบรรยากาศ เป็นพาหะได้สอดคล้องกลมกลืนกับเนื้อร้องภาษาไทยที่มีสุนทรียภาพด้านโวหารที่ เรียกว่า อุปมาอุปไมยหรือเปรียบเทียบในลักษณะที่ซื่อตรงง่ายๆ แต่กินความหมายได้ลึกซึ้งดำดิ่งลึกเข้าไปในอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างยอด เยี่ยม ฟังแล้วสามารถกำซาบความรู้สึกร่วมเหงาอ้างว้างอย่างที่รู้สึกได้ กำจายออกมาในตัวเพลงทั้งเนื้อร้องและดนตรี

แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีและการเขียนเนื้อร้องที่เป็นเอกภาพ และรุดหน้าไปอย่างเด่นชัด เมื่อเปรียบเทียบกับงานเพลงจากในนามวงสิบล้อ ความนวลเนียนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวทั้งเนื้อร้อง ดนตรี และอารมณ์ความรู้สึกที่สื่อสารออกมาผ่านเสียงร้องนั้น ฮิวโกกำลังจับจิตวิญญาณของดนตรีร๊อคในแบบตะวันตกอยู่มือและสื่อสารความเป็น ตะวันออกร่วมสมัย (ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ตะวันออกหรือไทยประเพณีแบบเทรดิชัน) โดยเฉพาะความรู้สึกของคนเมืองที่เคว้งคว้างล่องลอยอยู่ในที่แปลกถิ่นไม่รู้ ว่าตัวเองยืนอยู่ที่จุดใด เป็นภาวะความย้อนแย้งภายในที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างแยบคายลึกซึ้งในความ รู้สึก ผ่านเรื่องราวที่ง่ายๆ และสัมผัสได้ไม่ยากเย็นในการส่งสารออกมาและกระทบความรู้สึกทันที

[2] จุดจบคือจุดเริ่มต้น

‘สายลม’ เป็นบทเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม ‘Old Tyme Religion’ ที่วางจำหน่ายในเมืองไทย แน่นอนอัลบั้มนี้ถูกวางขายในตลาดอเมริกาเหนือและทั่วโลก และช่วงนี้เป็นการเดินทางหรือทัวร์โปรโมทอัลบั้มชุดนี้ของฮิวโก ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งดูจากตารางทัวร์แล้ว ก็ถือว่าถี่และหนักหนาเอาการ เพราะการจะพิสูจน์ฝีมือกันในตลาดเพลงอเมริกา นอกจากมีสตูดิโออัลบั้มแล้ว การทัวร์เพื่อเข้าถึงคนฟังนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างพลาดไม่ได้ เรียกว่าต้องโชว์ความสามารถในเชิงประจักษ์ให้เห็น ไม่ใช่ใช้แต่วิธีการโปรโมทตามกลไกตลาดเพียงอย่างเดียว ยิ่งเป็นนักร้องหรือวงดนตรีหน้าใหม่ไร้ชื่อก็ต้องยิ่งทำงานในเชิงรุกอย่าง เข้มข้นและเคี่ยวกรำ

เมื่อมาย้อนดูอดีตบนเส้นทางดนตรีของฮิวโก เขาเริ่มต้นในฐานะแกนนำวงสิบล้อที่ออกอัลบั้มกันมาตั้งแต่ปี 2544 ใช้เวลา 4 ปี ในการออกอัลบั้มมา 4 อัลบั้ม เฉลี่ยแล้วปีละอัลบั้ม ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่มากพอสมควรสำหรับวงดนตรีร๊อควงหนึ่ง หลังจากยุบวงในปี 2548 การเดินทางหาแรงท้าทายใหม่ๆ ทางดนตรีในระดับนานาชาติของโลกดนตรีร่วมสมัยตะวันตกก็เริ่มขึ้น

แม้ว่าในเมืองไทยต้นทุนทางสังคมในฐานะคนมีชื่อเสียงที่ผ่านทางสกุล และเงินทองช่วยให้เส้นทางต่างๆ เปิดกว้างอยู่พอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่ฮิวโกพิสูจน์ให้เห็นคือ พัฒนาการทางด้านเสียงร้องของเขาและความคิดทางดนตรีและการเขียนเนื้อร้องที่ ดีขึ้นเรื่อยๆ จนหาสไตล์ของตัวเองเจอ การเลือกทางลงโดยเดินออกจากวงสิบล้อและมุ่งสู่อังกฤษจึงเป็นจุดจบเส้นทาง ดนตรีในเมืองไทย สู่อุโมงค์ที่มืดมิดของเส้นทางดนตรีในอังกฤษ

ยกแรกกับความล้มเหลวในอังกฤษ แม้จะพอมีเครดิตทางด้านดนตรีจากเมืองไทยไป แต่ก็เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์ การเขียนเพลงของเขาสามารถเป็นใบเบิกทางด้วยความสามารถสู่เครือข่ายหรือคอน เนกชันในการทำงานเพลง ซึ่งแน่นอนเขาสามารถเชื่อมโยงสู่การติดต่อกับ อแมนดา โกสท์ (Amanda Ghost) คนที่ร่วมเขียนเพลงระดับเมกะฮิตที่ชื่อ ‘You're Beautiful’ ของ เจมส์ บลันต์ (James Blunt) ได้ และเริ่มทำงานเพื่อออกอัลบั้ม แต่เหตุการณ์ก็พลิกผัน การถูกยกเลิกสัญญาในการเป็นนักร้องในการออกอัลบั้มกับสังกัดเมเจอร์ของโลก ทำให้ดูเหมือนจบสิ้นเส้นทางดนตรีในระดับอินเตอร์ฯ

แต่ในปี 2550 ชื่อของฮิวโก ปรากฏร่วมในฐานะนักเขียนเพลงในบทเพลง ‘Disappear’ ซึ่งโด่งดังเป็นเพลงฮิต และบรรจุในอัลบั้ม ‘I am…Sasha Fierce’ ของซูเปอร์สตาร์ บียอนเซ่ (Beyonce Knowles) และนี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของฮิวโกบนเส้นทางดนตรี

ไม่ใช่แค่นี้ การมีส่วนร่วมในทีมเขียนเพลง อแมนดา โกสท์ ทำให้เขาได้รับการจับตามมอง โดยเฉพาะการเป็นคนไทยที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถทำงานได้ถึง ระดับนี้ ในปี 2552 อแมนดา โกสท์ ได้นั่งในตำแหน่งประธานของอีพิค เรคคอร์ดส์ ซึ่งเป็นบริษัทเพลงใหญ่ของโซนี่

จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่มก้อนของคนทำเพลงหรือคอนเนกชันก็เป็นเรื่องที่สำคัญในการก้าวเข้าสู่ ตลาดเพลงระดับโลกของอเมริกาหรืออังกฤษ ซึ่งขั้นแรกต้องแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ในเรื่องการเขียนเพลงหรือ ดนตรีเสียก่อน หรือพูดง่ายๆ ว่ามีกึ๋นทางดนตรีและมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง และพร้อมที่จะหลอมละลายไปกับเส้นทางของธุรกิจเพลงด้วย ทีมโปรดักชันดนตรีหรือทีมทำเพลงมีอิทธิพลมากๆ ในการจะกำหนดชะตากรรมของคนดนตรีที่เข้ามาสู่เส้นทางนี้ และฮิวโกก็อยู่ในขอบข่ายนี้เช่นกัน

เมื่อหัวขบวน อแมนดา มีตำแหน่งใหญ่ในค่ายเพลงที่ทรงอิทธิพล การนำเสนออะไรก็ง่ายขึ้น เมื่อมาผนวกกับความสามารถซึ่งเป็นที่ยอมรับจากการร่วมเขียนเพลงที่บียอนเซ่ นำไปร้องในอัลบั้ม การเซ็นสัญญาเป็นนักร้องเพื่อทำงานออกอัลบั้มในค่าย Roc Nation ของ เจย์-ซี (Jay-Z) ซึ่งเป็นค่ายเพลงอิสระในเครือข่ายของโซนี่ แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า พลังทางความคิดหรือกึ๋นทางดนตรีของฮิวโก ที่ เจย์-ซี หรือมีชื่อเต็มว่า ฌอน คอร์ลีย์ คาร์เตอร์ (Shawn Corey Carter) ซึ่งปัจจุบันเป็นศิลปินฮิพฮอพเบอร์หนึ่งของอเมริกาและเป็นบุคคลในวงการดนตรี ที่ทำเงินสูงสุดเมื่อปีที่แล้ว และมีภรรยาเป็นซูเปอร์สตาร์นักร้องในสายเอร์เบิ้น แบล๊ค มิวสิค คือ บียอนเซ่ ตอบรับเขา

เพราะฉะนั้น เมื่อคนดนตรีและอีกหนึ่งภาคในฐานะนักธุรกิจในอุตสาหกรรมเพลง ยอมรับถึงความแปลกใหม่โดดเด่นของฮิวโก และเชิญให้มาทำงานด้วยในสังกัดของตัวเองที่มีบุคลิกพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ก็ย่อมที่จะแสดงให้เห็นได้อย่างมีน้ำหนักที่แน่นหนาว่า ฮิวโก มีศักยภาพทางดนตรีที่โดดเด่นและสามารถสร้างจุดขายได้ไม่เหมือนใคร ซึ่งในอัลบั้ม Old Tyme Religion’ ของเขาจะเป็นคำตอบว่าเป็นอย่างไร?

ก่อนอื่นมาดูกลไกทางการตลาดที่ Roc Nation ค่ายเพลงปูพรมส่งฮิวโกออกสู่ตลาดเพลงในอเมริกาอย่างช้าๆ เน้นๆ ด้วยการนำบทเพลง ‘Disappear’ มาแสดงสดในเวอร์ชันอะคูสติกแบบฮิวโก และนำงานเพลงสุดฮิตของเจย์-ซี คือ ‘99 Problems’ มาคอฟเวอร์ตีความใหม่ในแนวทางดนตรีบลูส์กลาสส์-โฟล์คร๊อค ซึ่งฉีกออกไปจากเพลงดั้งเดิมและโดดเด่นแปลกหูแสดงถึงเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้น มาอย่างน่าพิศวง แต่ไม่ใช่ความแปลกใหม่ในแนวทางดนตรีที่ยังธรรมดาอยู่ในสายคันทรีซึ่งมีกัน ดาษดื่นอยู่แล้วในตลาดเพลงอเมริกัน และการเสริมอีกแรงด้วยซิงเกิล ‘Bread & Butter’ ที่ยังคงสไตล์ของดนตรีโฟล์คร๊อคกลิ่นอายบลูส์อยู่อบอวล

จุดที่น่าสังเกตที่ดีจุดหนึ่งของกระบวนการทางการตลาดของธุรกิจเพลงใน อเมริกาก็คือ การนำบทเพลงของศิลปินที่เรียกว่า มวยสร้าง ส่งโปรโมทในช่องทางที่เรียกว่า แมสหรือในวงกว้างคนฟังทั่วไป ที่ไม่ใช่ตลาดเพลงโดยตรงได้อย่างกลมกลืน ก็คือการส่งสองซิงเกิลดังกล่าว พ่วงไปกับแคมเปญชุดว่ายน้ำของ Victoria’s Secret รวมถึงบทเพลงที่ถูกนำไปเปิดในร้านเชนสโตร์ระดับยักษ์ใหญ่ อย่าง American Eagle Outfitters ที่มีกว่า 900 สาขาทั่วอเมริกา และแม็คโดนัลด์ที่มีกว่า 800 สาขา นอกจากนี้ยังมีพลังต่อรองที่สามารถนำเข้าไปเป็นเพลงประกอบซีรีส์และหนัง ฮอลลีวู้ดได้ด้วย อาทิ ‘Entourage’, ‘90210’ และ ‘Castle’

แม้ปัจจุบัน อัลบั้มเต็มของฮิวโกจะวางจำหน่ายไปแล้ว แต่ยังเห็นกระบวนการทางการตลาดที่เดินหน้าต่อไปในการสร้างศิลปินหน้าใหมไร้ ชื่อจากเอเชียให้โดดเด้งขึ้นมาอย่างเป็นระบบ แสดงให้เห็นถึงความอดทนและจิตใจที่ต้องยืนระยะฝ่าข้ามไปให้ได้ ซึ่งไม่ใช่จำเพราะกึ๋น ทักษะทางดนตรี และความคิดที่แสดงออกมาในตัวเพลงเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยหลายอย่างก็ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกันในท่ามกลางนักร้องและวงดนตรี มากมายทั้งในอเมริกา อังกฤษ และทั่วโลกที่อยากจะขึ้นมายืนสูดอากาศตรงจุดนี้

ฮิวโก-จุลจักร จักรพงษ์ กำลังเริ่มต้นเดินทางสู่ระดับโลก อัลบั้ม ‘Old Tyme Religion’ ที่มีเพลงภาษาอังกฤษอีก 12 บทเพลงบรรจุอยู่มีดีอย่างไร ตอนหน้ามาวิเคราะห์ลงลึกกัน....
>>>>>>>>>>
……….
รายชื่อเพลงในอัลบั้ม Old Tyme Religion ของ ฮิวโก จุลจักร จักรพงษ์

1. ‘Old Tyme Religion’
2. ‘99 Problems’
3. ‘Bread & Butter’
4. ‘Rock n’ Roll Delight’
5. ‘Hopelessly Stoned’
6. ‘Hurt Makes It Beautiful’
7. ‘Born’
8. ‘Mekong River Delta’
9. ‘Sweetest Cure’
10. ‘Defferent Lives’
11. ‘Just A Shred’
12. ‘Sweetest Cure’
13. ‘Wake Alone’
14. สายลม’
>>>>>>>>>>>
………

Monday 18 April 2011

Celeb Online - Manager Online - โลกใบใหญ่ของคนตัวเล็ก...อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์

Celeb Online - Manager Online - โลกใบใหญ่ของคนตัวเล็ก...อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2554 14:32 น.





“พี่เป็นคน ชัดเจน รู้ชัดเจนว่าตัวเองเป็นกะเทยตั้งแต่เด็กๆ รู้ชัดเจนว่าตัวเองอยากเป็นช่างแต่งหน้า และตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้ามาในวงการนี้ พี่ก็ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนว่า ฉันต้องเป็น ‘ช่างแต่งหน้าชื่อดัง’ ให้ได้”

น้ำเสียงแหลมสูงแต่เน้นหนัก คือสิ่งยืนยันว่าทุกคำบอกกล่าวของ เป็ด-อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์ หรือ ‘พี่เป็ด’ ชายร่างเล็กผู้ประกาศตนเป็น ‘กะเทย’ อย่างสง่างามนี้ เป็นรสคำที่กลั่นจากเบื้องลึกในใจ เรื่องราวมากมายที่พรั่งพรูจากความทรงจำของเธอ จึงมากด้วยสีสันอันแพรวพราว ไม่ต่างจากแนวความคิดอันหนักแน่น ชัดเจน และจัดจ้านเพราะความ ‘เก๋า’





“การที่คุณเป็นช่างแต่งหน้า ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องรู้จักเพียงแค่เทคนิคการแต่งหน้า แต่หมายความว่า คุณควรจะรู้จักเทคนิคการถ่ายภาพของช่างภาพชื่อดังในโลกนี้ด้วย เพื่อที่ว่าเมื่อมีคนบอกคุณว่า อยากได้ภาพที่ถ่ายออกมาในสไตล์ช่างภาพคนนั้น คนนี้ คุณก็จะสามารถแต่งหน้าได้ตามที่เขาต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น คุณก็ควรจะมีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมให้เยอะๆ อย่าไปดูถูกตัวเองว่า คุณเป็นช่างแต่งหน้าแล้วจะต้องจบอยู่แค่ ‘เครื่องสำอาง’ "

แน่นอน ว่า 'ไม่รู้ก็ไม่ผิด' แต่เธอ ช่างแต่งหน้ามือวางอันดับต้นของเมืองไทยผู้นี้ ยังยืนยันว่านิสัยรักการอ่านทั้งหมั่นค้นคว้าหาความรู้รอบตัวอยู่เสมอ ทำให้ได้รับคุณูปการอันใหญ่หลวง นั่นคือ โลกทัศน์อันแผ่ไพศาล กระทั่งสามารถเชื่อมโยงเทรนด์แฟชั่นและการแต่งหน้าเข้ากับประวัติศาสตร์ที่ บอกเล่าถึงความเป็นไปของโลกในแต่ละยุคสมัย





“แฟชั่นเมืองไทยเราก็แอบอิงกับแฟชั่นเมืองนอกนั่นแหละ เช่นในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง หรือยุคทศวรรษ 40 (*หมาย เหตุจากผู้เขียน ทศวรรษ 40 ในที่นี้ หมายถึงช่วง ค.ศ. 1940-1949 แต่หากเอ่ยถึงระยะเวลาที่แน่นอนของสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ตรงกับช่วง ค.ศ. 1939-1945) ทั้งโลกขาดแคลนปัจจัยในการใช้ชีวิต
ชนิดที่ว่ายาควินินรักษาไข้ยังหาได้ยากเย็น เพราะฉะนั้น แฟชั่นแบบชุดผ้าซีฟองและชุดผ้าไหมพลิ้วๆ น่ะ ไม่มีอีกแล้ว

"ในยุคนี้ จำเป็นต้องตัดเสื้อผ้าด้วยผ้าแข็งๆ แบบผู้ชาย กลายเป็นชุดสูทที่มีเนื้อผ้าแข็งๆ แต่ตัดให้เป็นโครงผู้หญิง ดังนั้น แฟชั่นในยุค 40 ก็กลายเป็นยุคที่ผู้หญิงต้องใส่สูท ส่วนเครื่องสำอาง ก็มีแค่ลิปสติกสีแดงแท่งเดียว ซึ่งลิปสติกเพียงแท่งเดียวก็ถือว่ามีมูลค่ามหาศาลแล้วนะ แฟชั่นในยุคนี้ ไม่มีความละเมียดละไมแบบยุคทศวรรษก่อนหน้านี้เหลืออยู่อีกแล้ว”

อภิชาติ บอกเล่าประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองของตนอย่างเพลิดเพลินว่า เมื่อก้าวสู่ยุคทศวรรษ 50 เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวหลังจากสงคราม ทั้งโลกกำลังไต่ระดับขึ้นสู่ความก้าวหน้าอีกครั้ง ผู้หญิงยุคนี้ จึงคล้ายกับเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์แบบ สง่างามและรุ่มรวย





“แฟชั่นยุคนี้ เป็นยุคของ ‘มาริลีน มอนโร’ ‘ออเดรย์ เฮบเบิร์น’ ‘เกรซ เคลลี่’ เป็นยุคของความสง่างาม เย้ายวน แฟชั่นไทยก็ตรงกับยุคของนางเอกนวนิยายอย่าง ‘ปริศนา’ ผู้หญิงยุคนี้มีคอนเซ็ปต์หลักคือ ‘ต้องสวย’และพี่บอกได้เลยนะว่ายุคนั้นเป็นยุคที่โลกค้นพบ ‘ทองคำสีดำ’ คือ ‘น้ำมัน’ เศรษฐกิจโลกจึงเฟื่องฟูมาก

"และเมื่อถึงยุคทศวรรษ 60 ก็มีความพยายามมุ่งมั่น สร้างเทคโนโลยีสำรวจอวกาศ (*หมาย เหตุจากผู้เขียน ยุคที่อภิชาติเอ่ยถึงตรงกับช่วง ค.ศ.1961-1969 ที่สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา แข่งขันกันเป็นผู้นำในการสำรวจอวกาศ) และ ตัวแทนของผู้หญิงยุคอวกาศก็คือ ‘ทวิกกี้’ ที่มาพร้อมกระโปรงมินิสเกิร์ต แฟชั่นยุคนี้มีพลาสติกเป็นองค์ประกอบ เน้นสีสันแวววาว เป็นเมทัลลิก ให้ความรู้สึกคล้ายโลกอนาคต เป็นยุคเทคโนโลยีก้าวหน้า เป็นยุคที่อเมริกาส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์”





อภิชาติยังบอกเล่าต่อไปถึงแฟชั่นยุคทศวรรษ 60 ต่อเนื่องไปถึงยุค 70 ว่าเป็นยุคสมัยของคนหนุ่ม-สาวผู้รักความอิสระเสรี ที่ เรียกกันว่าเหล่าบุปผาชนหรือ 'ฮิปปี้' นั่นเอง แฟชั่นของคนกลุ่มนี้เน้นสีสันสดใส เสื้อผ้ากรุยกราย ผมเผ้ารุงรังเป็นสังกะตัง ซึ่งอภิชาติมองว่าต้นกำเนิดของเทรนด์ดังกล่าว มีที่มาจากมหกรรมดนตรีกลางแจ้งที่วู้ดสต็อก นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งริเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 1969 ก่อนได้รับความนิยมล้นหลาม กลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของหนุ่มสาวในยุค 70 ซึ่งหนุ่มสาวต่างไปรวมตัวกัน ณ ที่นั้นเพื่อเสพรับบทเพลงแห่งเสรีภาพที่ศิลปินฃื่อดังพร้อมใจมาร่วมขับขาน


นอกจากบอกกล่าวถึงที่มาของบ่อเกิดกระแสฮิปปี้แล้ว อภิชาติยังเชื่อมโยงแฟชั่นยุคนี้จากมุมมองของช่างแต่งหน้าว่า ด้วยความเป็นเมืองหนาว ตื่นเช้ามาสาวๆ ไม่ต้องอาบน้ำเพียงแต่งหน้าให้สวยเช้งซ้ำรอยเดิม ปัดมาสคาร่าทับรอยเก่า ก่อเกิดเป็นเทรนด์มาสคาร่าแบบหนาเป็นแพ แห้งเกรอะกรัง ผมเผ้าก็ฟูรุงรัง



ทรรศนะของอภิชาติ ชวนให้เราฉุกคิดว่า เทรนด์ดังกล่าวอาจสะท้อนได้ถึงกระแสทางการเมืองของโลกยุคนั้น เป็นไปได้ว่า แฟชั่นดังกล่าวสื่อนัยถึงความเป็น 'ขบถ' ต่อต้านจารีตกรอบเกณฑ์ แล้วแสดงออกผ่านความอิสระของชีวิต เสียงเพลง รวมทั้งวิถีที่ไม่นำพาต่อขนบใดๆ ราวกับเป็นยุคสมัยที่คนหนุ่มสาวต้องการ ประกาศสิทธิและเสียงในใจอันปรารถนาความสันติ ขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงการต่อต้านสังคม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาอาจแสดงออกเช่นนั้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลอเมริกัน เนื่องจากในช่วงทศวรรษ 50 ต่อเนื่องถึงทศวรรษ 70 อเมริกาได้ส่งกองทัพเข้าไปร่วมรบในสงครามเวียดนามซึ่งทำให้มีผู้เสีย ชีวิตจากสงครามเป็นจำนวนมหาศาล


อภิชาติบอกเล่าต่อไปว่าความอิสระเสรีที่แสดงออกผ่านวิถีชีวิตและเทรนด์ แฟชั่นในยุคทศวรรษ 70 ยังนำไปสู่ความคิดนอกกรอบและนับเป็นการริเริ่มความแปลกใหม่ให้แก่แฟชั่น เช่น เริ่มมีการนำสีเทียนมาแต่งหน้า แต่งแต้มสีสันบนเปลือกตา จากเดิมที่มีเพียงอายไลน์เนอร์สีดำแต่งแต้มรอบดวงตาของหญิงสาว เมื่อความนิยมในสีสันจากสีเทียนแพร่หลาย ไม่นานนักสีเทียนอันแพรวพราวนับไม่ถ้วน จึงก่อเกิดเป็นเทรนด์ฮิตในยุคทศวรรษ 80 และเป็นที่มาของอายแชโดว์ในยุคปัจจุบัน นับเป็นหนึ่งในเครื่องสำอางที่สาวๆ ทั่วโลกติดอกติดใจ


อย่างไรก็ดี แม้จะพาคู่สนทนาเดินทางผ่านพบกับแฟชั่นแต่ละยุคสมัย ทว่า เมื่อเอ่ยถึง
เทรนด์แฟชั่นในปัจจุบัน อภิชาติกลับยืนยันว่า 'ไม่มีอะไรใหม่' ทุกสิ่งหมุนวน ซ้ำรอย ผู้คนหยิบยกเทรนด์ยุคนั้น ยุคนี้ ให้กลับมาฟื้นคืนชีวิตบนรันเวย์ บนปกนิตยสารและตามท้องถนนหนทาง ผ่านการตีความจากมุมมองในยุคโมเดิร์น




ซึ่งตัวเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น...ช่างแต่งหน้า ผู้ตามแกะรอยรากเหง้าของบรัชออน ลิปสติก มาสคาร่า สำรวจและค้นหาคำตอบ ค้นหาที่มาของเทรนด์แฟชั่นล้ำสมัยประดามีทั้งในอดีตและปัจจุบัน





จำเป็นแค่ไหนที่ต้องรอบรู้ถึงเพียงนั้น? แน่นอน เธอยังยืนยันคำตอบเดิม ‘ไม่รู้ก็ไม่ผิด’

แต่โลกทัศน์อันกว้างไกลเหล่านั้น อย่างน้อยที่สุด ย่อมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เธอ ยืนหยัดอยู่ในวงการแห่งแสงสีสรรพมายามาได้อย่างยาวนานไม่ต่ำกว่า 25 ปี ทั้งได้รับการเคารพ ให้เกียรติ และถูกกล่าวขานว่าเป็น ‘เมคอัพอาร์ตติสท์’ มือหนึ่งของเมืองไทย

“อย่าดัดจริต เลยค่ะ พี่ไม่เรียกตัวเองว่าเมคอัพอาร์ตติสท์อะไรหรอก เรียกภาษาไทยตรงตัว ง่ายๆ นี่แหละค่ะ พี่เป็นช่างแต่งหน้าและพี่ก็เรียกตัวเองว่าเป็นช่างแต่งหน้า”





ครั้นถามว่าเป็นช่างแต่งหน้ามือหนึ่งไหม? เธอบอกว่าไม่รู้ แต่ถ้าถามว่าชื่อดังไหม เธอบอกว่าใช่...

“พี่เป็นช่างแต่งหน้าชื่อดัง ก็ถ้าไม่ดัง คุณจะมาสัมภาษณ์พี่เหรอคะ?”

เนิ่นนานกว่า 2 ทศวรรษ นับแต่ย่างก้าวเข้ามาในวงการ 'เบื้องหลังโลกมายา' ที่ 'แรงเสียดทานและการแข่งขันสูง' แต่เธอก็ยังหนักแน่น จัดจ้าน และชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลง

...อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์


...............


เรื่องโดย : นางสาวยิปซี
ภาพโดย : วรงค์กรณ์ ดินไทย