Sunday 8 May 2011

Claiming Back Income Tax when you Leave UK Permanently

Claiming Back Income Tax when you Leave UK Permanently
Claiming Back Income Tax when you Leave UK Permanently
Claiming Back Income Tax when you Leave UK Permanently
Are you leaving the UK?

In 2008 more then 395,000 people left the UK. Of these, 60% were migrants returning home permanently, while the remaining 40% were expats starting a new life abroad. Here our tax experts answer some frequently asked questions relating to claiming back tax when you leave the UK permanently:

Can I claim back income tax when I leave the UK?
Yes. Everyone that works in the UK is given a tax free allowance. In the tax year 2009/2010 this was £6,475, which is divided between your wages each week or month. If you leave the UK part way through the year, you will not have received your full tax free allowance and as a result should be due a tax refund.

How can I calculate my tax refund?
On your last day of work or shortly after, you should be given a P45 from your employer. On your P45 there will be the amounts you earned and paid in tax during the year. Input these figures into our tax rebate calculator and it will tell you if you are due a tax refund and how much it will be.

When can I claim my tax back?
Once you have stopped working and received your P45, you can then claim your tax refund.

I left the UK permanently 4 years ago, can I still claim?
Yes. You can still make a claim for up to 6 years. After 6 years you lose your eligibility to claim.

I have lost my P45/P60; can I still make a claim?
Yes. If you have lost your P45 or P60 you can still make a claim. You will need to contact your previous employer or employers and ask the payroll department for a 'statement of earnings'. A statement of earnings is document which can be used as a replacement for a P45 or P60.

How do I claim my tax refund?
You can either make a claim yourself or you can use a tax refund agent such as TaxFix to help you make your claim.

Claim Tax Back When Leaving the UK

Claim Tax Back When Leaving the UK
Claim Tax Back When Leaving the UK

Many people leave the UK for various reasons; to explore a new country or to return to an old one. Whatever the reason, you will almost certainly be due some tax back when you leave the country. Here are the answers to some of the most frequently asked questions on this topic from our professional tax experts:

Who is due a tax refund when leaving the country?
Almost anyone that has worked in the UK, paid income tax and then leaves for an extended period of time will be able to apply for a tax rebate when leaving the country.

Will I be able to Claim all my tax back when leaving the UK for good?
It will depend upon your income for each previous tax year and how much tax you paid. However, you will almost certainly be due a tax refund from the tax year in which you leave the UK.

How can I calculate what my tax refund will be when leaving the UK?
When you finish working you should be given a P45 from your employer. This P45 will show the income and tax figures for the year. Input these numbers into our tax rebate calculator and it will tell you instantly if you are due a tax refund.

What about tax rebates for previous years?
If you have P60s for previous years you can check to see if you have overpaid in these years too. The longest you can claim is for 6 years in arrears.

When can I claim my tax back?
As soon as you stop working you can claim any tax rebate that you might be due.


Read more: Claim Tax Back When Leaving the UK http://www.taxfix.co.uk/forum/articles/claim-tax-back-when-leaving-the-uk.html#ixzz1LjwP1x6X

[ARCHIVED CONTENT] Tax when leaving the UK : Directgov - Money, tax and benefits

[ARCHIVED CONTENT] Tax when leaving the UK : Directgov - Money, tax and benefits

ขอแชร์เรื่องขอสัญชาติกับพาสปอร์ตอังกฤษค่ะ - Ladyinter Club - Page 1

ขอแชร์เรื่องขอสัญชาติกับพาสปอร์ตอังกฤษค่ะ - Ladyinter Club - Page 1

PANTIP.COM : H5812192 ขอสัญชาติอังกฤษครับ [แม่บ้านต่างแดน]

PANTIP.COM : H5812192 ขอสัญชาติอังกฤษครับ [แม่บ้านต่างแดน]

PANTIP.COM : H7603190 ช่วยด้วยค่ะ หงุดหงิดกับสามีเรื่องขอสัญชาติอังกฤษ [แม่บ้านต่างแดน]

PANTIP.COM : H7603190 ช่วยด้วยค่ะ หงุดหงิดกับสามีเรื่องขอสัญชาติอังกฤษ [แม่บ้านต่างแดน]

การเข้าถือสัญชาติสำหรับคนที่แต่งงานกับคนอังกฤษ | Thai Women’s Organisation

การเข้าถือสัญชาติสำหรับคนที่แต่งงานกับคนอังกฤษ | Thai Women’s Organisation


สำหรับคนที่แต่งงานกับคนอังกฤษ ไม่จำเป็นต้องถือ ILR 1 ปีครับ ถ้าอยู่ในประเทศนี้มาแล้วสามปี เมื่อไหร่ได้ ILR ก็ขอ naturalize ได้เลยครับ ไม่ต้องรอหนึ่งปี

Legal | Thai Women’s Organisation

ชมรมเพื่อนหญิงไทยในสหราชอาณาจักร

Legal | Thai Women’s Organisation

Saturday 7 May 2011

Daily News - Manager Online - She's hot! Super Model

Daily News - Manager Online - She's hot! Super Model

She's hot! Super Model idth="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 6 พฤษภาคม 2554 21:41 น.


เธอคนนี้... ความหวังและความภาคภูมิใจของคนทั้งประเทศ!

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
โพสท่าอย่างมืออาชีพ






ขอบคุณสถานที่:สยามเซ็นเตอร์

รอยยิ้มใสๆ อีกมุมหนึ่งของสิ


เดินแบบครั้งแรก แบรนด์ "SIRIVANNAVARI"

ชื่อเสียงโด่งดังจนได้ลงนิตยสาร Elle ของปารีส



โดดเด่นบนรันเวย์ระดับโลก

ร่วมงานกับนางแบบอินเตอร์และวิเวียน เวสต์วูด

ถ่ายแบบชุดว่ายน้ำครั้งแรก นิตยสารสุดสัปดาห์


เอ อัคชิน อดีตแฟน

“โกอินเตอร์” คำนี้คนในวงการพูดกันบ่อย แต่ไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งก็ยังให้ความรู้สึกเกินเอื้อมทุกที เพราะมีไม่กี่คนที่ไปถึงจุดนั้นได้ ยกเว้น “สิ พิชญ์สินี ตันวิบูลย์” นางแบบสัญชาติไทยหนึ่งเดียวที่ทำให้ฝันของคนทั้งประเทศเป็นจริง เธอก้าวไกลไปถึงนครปารีส ได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัดเอเยนซีแบรนด์เนมแนวหน้า ทั้งยังเป็นนางแบบดาวรุ่งพุ่งแรงที่ดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกยินดีให้เสื้อผ้า สุดหวงแหนมาโชว์อยู่บนร่างกายของเธอ หากยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้าจะทำให้คุณรู้เองว่า เหตุใดหญิงสาววัย 24 อย่างเธอจึงสมควรได้รับโอกาสทั้งหมดนี้?

“ความหวังและความภาคภูมิใจของประเทศไทย” กลายเป็นคุณสมบัติห้อยท้ายชื่อ “สิ พิชญ์สินี ตันวิบูลย์” ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเธอคือนางแบบอินเตอร์คนล่าสุดที่เดินทางไปสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศถึงรันเวย์ระดับโลก มีโอกาสฝากรอยเท้าไว้บนแคตวอล์ก “Paris Fashion Week” หลายต่อหลายครั้ง ได้ร่วมงานกับดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง ลีมี่ ซุย, มาร์ค จาคอบส์, หลุยส์ วิตตอง, ฌอง ปอล โกติเยร์, ปิแอร์ การ์แดง หรือแม้กระทั่งคุณป้าวิเวียน เวสต์วูด ทั้งยังสามารถทำให้ “Elite Paris” เอเยนซีชื่อดังฝั่งตะวันตกติดใจในความสามารถ จนถึงขนาดเรียกเซ็นสัญญาเข้าสังกัดมาแล้ว และเพื่อทดสอบคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา M-Lite จึงขอนัดพบเธอในเย็นวันที่ผู้คนพลุกพล่าน ณ ห้างสรรพสินค้าย่านใจกลางเมือง

ปกติแล้วทีมงานจะเริ่มพูดคุยกับผู้ถูกสัมภาษณ์ก่อน แล้วจึงตบท้ายด้วยการแอ็กชันถ่ายรูปเพื่อลดความประหม่าของทั้งสองฝ่าย และทำให้ภาพถ่ายออกมาดูเป็นธรรมชาติ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้าของตำแหน่ง Thai Super Model ปี 2006 เราจึงขอให้สิ-พิชญ์สินี สวมวิญญาณนางแบบทันทีที่เดินทางมาถึง เธอ ใช้เวลาเปลี่ยนรองเท้าเพียงชั่วครู่เพื่อเพิ่มความสง่าขึ้นไปอีกประมาณ 2-3 นิ้ว ปัดผมให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงเริ่มทำสิ่งที่ถนัดที่สุดในชีวิต...

ทันทีที่ช่างภาพเริ่มเปิดหน้าเลนส์แล้วโฟกัสไปที่เธอ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปจากเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนราวกับเป็นคนละคน สายตาและท่าทางของเธอกลับดูมีเสน่ห์น่าค้นหา ความสูงสง่าบวกกับลีลาโพสท่าอย่างมืออาชีพ ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาด้วยความรีบเร่งต้องเหลียวหลังมอง หากวัดจากสิ่งที่เห็นอยู่คงไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรในตัวผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว นอกจากจะอยากรู้จักตัวตนของเธอให้มากยิ่งขึ้น


ดังได้เพราะเป็นสหายพระองค์หญิง?
“ตอนเด็กๆ เนิร์ดมากค่ะ เป็นเด็กเรียน แล้วก็เล่นกีฬา เรียนเสร็จจะต้องไปขี่ม้าทุกเย็น ไม่ได้มีชีวิตเกี่ยวข้องกับการเป็นนางแบบเลย ตอนนั้นใส่แว่นตาด้วยเพราะสายตาสั้น แล้วก็ตัวสูงที่สุดในห้องเลย ได้ยืนหัวแถวตลอด แต่ถึงจะสูงก็จะไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ เลยไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะกลายมาเป็นนางแบบเต็มตัวอย่างทุกวันนี้ สิย้อนวัยให้ได้วาดภาพตาม ก่อนอธิบายที่มาที่ไปบนเวทีแคตวอล์กครั้งแรกในชีวิตให้ฟัง

เริ่มเดินงานแรกให้พระองค์ หญิงสิริวัณณวรีฯ (พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์) ค่ะ สิเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับพระองค์ตอนอยู่จิตรลดา รู้จักกันตั้งแต่เรียนอนุบาล พอพระองค์จะทำคอลเลกชันเสื้อผ้าไป แสดงในงาน Bangkok Fashion Week ท่านอยากให้สิเป็นนางแบบ ก็เลยได้เดินแบบให้พระองค์หญิงเป็นที่แรก ตอนนั้นนางแบบคนอื่นในงานมีแต่มืออาชีพทั้งนั้นเลย มีพี่จอย วราลักษณ์, พี่โย ยศวดี, พี่ลูกเกด เมทินี, พี่ซินดี้ เยอะแยะไปหมด เราเด็กสุดอายุ 19 ใส่ชุดนักศึกษาไปซ้อม ยังเดินไม่เก่งเท่าพี่ๆ เขาเลย แล้วก็ประหม่ามากด้วย แต่ทุกคนใจดีมาก ช่วยสอนเทคนิคให้ตลอด ถือว่าโชคดีจริงๆ ค่ะที่งานแรกก็ได้เดินบนเวทีใหญ่ขนาดนั้น

ได้เปิดตัวในฐานะนางแบบประจำแบรนด์ “SIRIVANNAVARI” กันเลย ต้องถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ถามว่าวินาทีนั้นกลัวคนอื่นมองว่าตัวเองเป็นเด็กเส้นบ้างหรือเปล่า สาวก้านยาวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “คงห้ามใครว่าไม่ได้อยู่แล้วค่ะ แต่ตอนนั้นเราแค่ตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด ไม่รู้สิคะ... สิ เชื่อว่าถ้าทำเต็มที่แล้ว พยายามแล้ว คนอื่นคงไม่มาว่าเราหรอก เขาคงเห็นว่าเราทำจริงๆ ไม่ได้เข้ามาแล้วงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ หรือเป็นเด็กเส้นอะไร

หลายคนอาจวาดภาพไม่ออกว่าการเป็นเพื่อนกับบุคคลในราชวงศ์ เป็นอย่างไร จะได้รับอภิสิทธิ์เหนือประชาชนทั่วไปมากน้อยแค่ไหน ในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรง สิจึงช่วยอธิบายให้หายข้องใจ “สิ จะเรียกแทนตัวเองว่าสิ และเรียกท่านว่าพระองค์หญิงค่ะ มีใช้ราชาศัพท์ตอนคุยบ้าง ทำกิจกรรมร่วมกันตามประสาเพื่อน กินข้าว ดูหนัง แต่ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ จะใช้บีบีคุยกันมากกว่า เพราะพระองค์หญิงกำลังศึกษาต่ออยู่ต่างประเทศ ทุกวันนี้ก็ยังถามไถ่ สารทุกข์สุกดิบกันดีค่ะ ปรึกษากัน พยายามอัปเดตชีวิตกันตลอด ส่วนเรื่องอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นนี่ไม่มีนะคะ เพราะท่านก็เป็นคนสบายๆ อยู่แล้ว เวลาไปเที่ยวกันเลยไม่ได้ไฮโซหรูหราอะไรมาก ใช้ชีวิตกันแบบปกติค่ะ


“วิเวียน เวสต์วูด” กระทบไหล่มาแล้ว!
หากเคยดูรายการเรียลิตีต่างประเทศที่แข่งขันกันเพื่อค้นหาสุดยอดนางแบบอย่าง “America’s Next Top Model” คงรู้ว่าการจะก้าวขึ้นไปอยู่บนเวทีระดับโลกนั้นยากมากแค่ไหน นอกจากต้องพยายามสร้างผลงานของตัวเองให้ออกมาดีที่สุดแล้ว ที่ปวดประสาทที่สุดคือต้องแข่งขันกับเพื่อนร่วมอาชีพเพื่อแย่งอันดับหนึ่งบน เวทีแคตวอล์ก ดันตัวเองให้เป็นที่ต้องการของผู้จ้างมากที่สุด ซึ่งสิยืนยันว่าการแข่งขันอันดุเดือดที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีอยู่แค่บนยู บีซีเท่านั้น แต่บนเส้นทางนางแบบมืออาชีพระดับโลกก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใดนัก เรียกได้ว่ากว่าจะได้สักงาน เหงื่อตกไปหลายรอบเหมือนกัน

“อาจจะมีครั้งที่ยากหน่อย ลูกค้าวาดภาพในหัวไว้แล้วว่าอยากให้นางแบบออกมาเป็นแบบนี้ๆ วางเอาไว้เลย แต่อธิบายภาพที่คิดไว้ออกมาไม่ได้ ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่การสื่อสารค่ะ ถ้าคุยกันรู้เรื่องก็จบ แต่บางครั้งก็มีปัญหาส่วนอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดทั้งมวลมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวนางแบบคนเดียว อาจจะเกิดจากการจัดแสง การถ่ายภาพ ถ้าถ่ายเอาต์ดอร์จะมีเรื่องดินฟ้าอากาศเข้ามาอีก ควบคุมยากค่ะ แต่สิก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์เลวร้ายถึงขนาดทำเท่าไหร่ก็ไม่ถูกใจลูกค้าสักทีนะ ส่วนใหญ่เขาจะชอบให้แชร์ไอเดียอยู่แล้ว ทำให้เข้าใจตรงกันว่าเขาต้องการแบบไหน แล้วเราเสนอแนะไปยังไงบ้าง เลยไม่ค่อยเป็นปัญหา” เจ้าของคำตอบนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนเริ่มประเด็นใหม่

“ส่วนเรื่องการแกล้งกันนี่ เท่าที่เห็นไม่มีนะคะ ไม่เคยเจอ สิ่ง หนึ่งที่สิชอบมากในวงการนางแบบคือไม่ค่อยมีใครอิจฉากัน ทุกคนทำงานเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันหมดค่ะ คงมีมากสุดคือเขาไม่คุยกับเรา แต่เราก็ไม่ได้เสียใจอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาก็มีเพื่อนของเขา เขาไม่รู้จักเรา เข้าใจดีค่ะว่าต่างคนก็มาจากต่างที่ อีกอย่างเราก็ไม่ได้ไปขอเขากินนี่ ก็เลยไม่ได้รู้สึกกลัวหรือขาดความมั่นใจอะไร ถ้าเขาไม่คุยกับเรา เพื่อนนางแบบคนอื่นก็ยังมีอีกเยอะ สิจะพยายามยิ้มแย้มกับทุกคน บางครั้งก็แอบมีหวั่นๆ บ้างเหมือนกันค่ะ แต่ต้องพยายามไม่เก็บมาใส่ใจแล้วทำงานของเราให้ออกมาดีที่สุด”

แม้หน้าที่บนแคตวอล์กจะทำให้สิเหนื่อยล้าไปบ้าง แต่ยังมีเบื้องหลังเวทีเป็นแหล่งชาร์จพลังงานสำคัญของเธอ โดยเฉพาะวินาทีที่ได้ใกล้ชิดกับดีไซเนอร์ในดวงใจตัวเป็นๆ สิบอกว่ามันคือประสบการณ์ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในชีวิตของเธอ

“ตอนอยู่เมืองไทย ยังไม่ได้ไปแฟชั่นวีค ได้ยินชื่อวิเวียน เวสต์วูดแล้วรู้สึกว่าเป็นแบรนด์ที่ใหญ่และอินเตอร์มาก มีกระจายอยู่ทั่วโลก แค่พูดถึงชื่อนี้ใครๆ ก็รู้จักว่าหน้าตาป้าวิเวียนเป็นยังไง พออยู่ที่โน่น แค่ได้มีโอกาสไปแคสต์ผลงานป้าวิเวียนเราก็ดีใจแล้ว แล้วพอเขาเลือกเราก็ยิ่งดีใจใหญ่เลย มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตมากๆ ที่ได้ทำงานให้เขา ส่วนหลุยส์ วิตตอง กับมาร์ค จาคอบส์ มีโอกาสได้เจอตัวจริงตอนอยู่หลังเวที ได้ฟิตติ้งกับดีไซเนอร์ระดับโลกแบบนี้รู้สึกว่ามันเจ๋งมากเลยค่ะ คนทั่วไปจะมีโอกาสได้เห็นแค่ผลงานเบื้องหน้า ชุดบนรันเวย์กับบทสัมภาษณ์ของเขา แต่พอเป็นนางแบบทำให้ได้สัมผัสเบื้องหลังของเขาด้วย ไม่จำเป็นต้องได้พูดคุยกันหรอกค่ะ แค่เขามาจับเสื้อผ้าบนตัวเรา สิก็รู้สึกสนุกแล้วก็มีความสุขมากๆ แล้ว สีหน้าแววตาของเธอจำกัดความคำว่า “ความสุข” เอาไว้อย่างชัดเจน


จุดขายของนางแบบหน้าไทย
เช่นเดียวกับที่หลายคนสงสัย ท่ามกลางนางแบบต่างเชื้อชาติมากความสามารถทั่วโลก เหตุใดดีไซเนอร์ชื่อดังหลายคนจึงเลือกเธอ? คำถามนี้ไม่ได้ต้องการดูถูกหรือแฝงนัยว่าเธอมีดีตรงไหน ตรงกันข้ามกลับต้องการให้ผู้ถูกพาดพิงวิเคราะห์ส่วนดีๆ ในตัวเองออกมา แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะต้องการเวลามากกว่านี้เพื่ออธิบายจุดขายของตัวเอง สินิ่งคิดอยู่นาน แล้วตอบสั้นๆ แค่เพียง “ไม่ รู้อะ รู้แค่ว่าเราก็คือเรา มันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ค่ะ คนที่เขาเลือกสิ เขาบอกว่าเราเท่ดี แค่นั้น ส่วนเพื่อนๆ ที่เห็นผลงานเราก็จะพูดว่าดูเป็นสิมากเลย ถ้าถามว่าจุดขายของสิคืออะไร ก็คงความเป็นตัวเอง ความเป็นตัวสินี่แหละค่ะ

ที่ได้รับโอกาสบนเวทีโลกอย่างทุกวันนี้ สิบอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสความนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป แฟชั่นหันมาจับกลุ่มเอเชียมากขึ้น นางแบบเอเชียจึงมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น “ถ้าเทียบกับหลายปีก่อน การรับนางแบบเอเชียเข้าสังกัดหรือโชว์ตามงานใหญ่ๆ ระดับโลกยังไม่เปิดกว้างเท่านี้ แต่ตอน นี้กระแสนางแบบหน้าเอเชียเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น เพราะตลาดแฟชั่นในจีนรุ่งเรืองมากขึ้น ดีไซเนอร์บางคนเลยมี Inspiration มาจากจีนและเอเชียเสียส่วนใหญ่ เธอให้ข้อมูลอย่างคนรู้จริง

ถึงแม้หน้าโทนเอเชียจะมาแรงและเป็นที่ต้องการของตลาดโลกขนาดไหน แต่ใช่ว่าสิจะได้งานมาอย่างง่ายดายเสียเมื่อไหร่ เพราะนางแบบหน้าเอเชียที่มีศักยภาพพร้อมแข่งขันก็มีจำนวนไม่น้อย ดีไม่ดีอาจจะถูกเหมารวมว่าหน้าเหมือนกันไปหมดจนขาดความโดดเด่น ไม่เป็นที่จดจำก็ได้ เรื่องการวางตัวจึงเป็นปัจจัยสำคัญอีกข้อหนึ่ง ซึ่งช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ร่วมงาน และนิสัยแบบไทยๆ นี่แหละที่สิบอกว่ากินขาดชาติอื่นจริงๆ

“นางแบบเอเชียก็มีหลายคนหลายเชื้อ ชาติ เราก็ต้องลุ้นเหมือนกันให้เขาชอบหน้าเอเชียแบบไทยๆ (ยิ้มกว้าง) ซึ่งมันขึ้นอยู่กับดีไซเนอร์ด้วยว่าเขาจะชอบแบบไหน ส่วนเรื่องการวางตัวเวลาทำงาน สิจะค่อนข้างระวังนิดหนึ่ง สิว่าคนไทยเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในตัวอยู่แล้ว เรารู้จักมารยาท ทำให้คนที่ทำงานด้วยรู้สึกสบายใจกว่า เทียบ กับฝรั่งบางคนจะรู้สึกเลยว่าเขาไม่ค่อยมีมารยาท อยู่ดีๆ เอาเท้ายกขึ้นมาบนโต๊ะแต่งหน้า แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ (ยิ้ม) เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ ต่างชาติเขาไม่ค่อยถือ แต่เห็นแบบนั้นแล้วเรารู้สึกว่าคงดีกว่าถ้าจะไม่ทำแบบนั้น”

“หรือนางแบบบางคนจะวีนบ่อย ตัวสิเองก็มีบ้างที่อารมณ์เสีย แต่จะพยายามมีสติ เรื่องไม่เป็นเรื่องที่สามารถยืดหยุ่นกันไปได้ก็พยายามจะยืดหยุ่น สิ ชอบการวางตัวของพี่บี น้ำทิพย์ค่ะ ชอบความไนซ์ ความหวาน ความน่ารัก ความมีเสน่ห์ของเขา สิเองก็พยายามจะไนซ์กับทุกคน เวลาทำงานเราอยากเจอคนที่พูดดีๆ กับเรา เราก็ต้องพูดดีๆ กับเขา มันทำให้เราดูมีเสน่ห์กว่า ทำงานง่ายกว่าคนที่เหวี่ยงๆ วีนๆ ด้วย... จริงไหมคะ ผู้สัมภาษณ์พยักหน้ารับพลางคิดในใจว่า ตัวตนของสิที่ทีมงานสัมผัสได้ตรงกับที่บรรยายเอาไว้เป๊ะเลย


โป๊-ไม่โป๊ อยู่ที่ทัศนคติ
เนื้อผ้าบางแนบอยู่บนผิวนาง แบบโนบรา บางชิ้นต้องการสื่อถึงความรู้สึกเบาสบายของผู้สวมใส่ นางแบบประจำคอลเลกชันจึงมีหน้าที่แขวนเสื้อผ้าซีทรูทับลงบนเรือนร่างเปลือย เปล่า ให้ดีหน่อยคือมีชุดชั้นในปิดส่วนสำคัญเอาไว้ ทั้งหมดนี้คือภาพที่เกิดขึ้นจริงบนเวทีแคตวอล์กต่างประเทศ หากทีวีของคุณเปิดรับช่องแฟชั่นซึ่งส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมได้ คงเห็นภาพเหล่านี้จนชินตาเสียแล้ว สิ เองก็ยอมรับว่าเคยเป็นแบบให้เสื้อผ้าคอลเลกชันน้อยชิ้นเช่นกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นโนบราหรือโป๊เปลือยข้างในทั้งหมด แค่ใส่ชุดชั้นในคลุมด้วยผ้าซีทรูเท่านั้นเอง แต่ถ้ารักจะทำอาชีพ นี้ต่อไป คาดว่าคงเลี่ยงไปได้ไม่นาน จึงอยากรู้ว่าเธอและครอบครัวทำใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เอาไว้มากน้อยแค่ ไหน สิยิ้มสบายๆ ก่อนชี้แจงอย่างละเอียด

เรื่องคุณพ่อคุณแม่ไม่มี ปัญหาเลยค่ะ เขาไว้ใจเรา เห็นว่าเรารักษาภาพลักษณ์ของตัวเองได้ คือเราไม่ได้ไปขายเรือนร่างแลกเงินขนาดนั้นไงคะ สิว่าคนที่ดูเขาก็มองเราเป็นนางแบบแหละ หนูเองก็พยายามรักษาลุคของตัวเอง เรารู้ดีค่ะว่าลิมิตของตัวเองมีแค่ไหน แล้วพี่ๆ ใน วงการเขาก็รู้ว่าเราทำได้แค่ไหน คงไม่ให้เราทำเกินลิมิตอยู่แล้ว และด้วยความที่ฐานะทางบ้านของเราก็ไม่ได้ยากลำบาก ไม่ได้ต้องการเงินขนาดนั้น ทำให้เราสามารถเลือกงานได้ คุณพ่อคุณแม่ก็เลยไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้ค่ะ เธออธิบายให้เข้าใจแล้วจึงขยายความไปยังงานบนเวทีระดับโลก

“ที่ผ่านมาก็ไม่เคยต้องใส่ชุดโป๊ถึง ขนาดทำให้รู้สึกลำบากใจนะ ชุดที่ใส่แต่ละครั้งจะแล้วแต่ดีไซเนอร์ค่ะ แบบที่ให้ใส่ชุดชั้นในเปล่าๆ คงไม่มี ยังไงก็ต้องมีผ้ามาคลุมไว้บ้างอยู่แล้ว ส่วนชุดที่เคยใส่ก็มีแบบที่เป็นซีทรูเหมือนกัน แต่สิไม่ได้มองว่า มันคือความโป๊ที่เรียกได้ว่าอุจาดน่ะค่ะ เพราะเราเดินอยู่บนรันเวย์ แล้วตอนที่เดินอยู่แอตติจูดของเราก็คือนางแบบ ขายเสื้อผ้า เราไม่ได้เดินโชว์เพื่อให้คนมองเข้าไป ไม่ได้เชิญชวนให้เข้ามาดูเนื้อในของเรา แต่จะพยายามพรีเซนต์ออกมาในแบบที่ดีไซเนอร์ต้องการมากที่สุด เขาอยากให้เสื้อผ้าออกมาดูดี เราก็ต้องตั้งใจที่สุดเพื่อเขา ให้สมกับความพยายามที่เขาออกแบบมา สิมองว่าเรื่องแฟชั่นมันเป็นอาร์ตค่ะ จะมีโป๊บ้างก็ได้ ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะขายเนื้อหนังของเราเป็นหลัก หนูโอเค

สำหรับคนที่ตัดสินจากวัฒนธรรมไทยหรือใช้ความน้อยชิ้นของเสื้อผ้ามา เป็นบรรทัดฐานตัดสิน สิอยากให้มองในมุมใหม่ๆ และอยากให้เข้าใจว่า “มัน คือเวทีแฟชั่นวีกของปารีส ณ จุดนั้นเขาไม่ได้ขายเราเป็นนางแบบเซ็กซี่ ไม่ใช่นางแบบบนปกนิตยสารเพลย์บอย มันแบ่งแยกกันชัดเจนอยู่แล้วค่ะ คนที่ถูกมองว่าเป็นนางแบบก็จะเป็นนางแบบ ไม่ถูกเอาไปปนกับอย่างอื่น แล้วเราก็ไม่ได้ขายตัวหรือขายเรือนร่างแลกเงิน แต่หน้าที่ของนางแบบคือคนพรีเซนต์เสื้อผ้า ที่สำคัญคนที่มาในงาน นั้นคือคนที่สนใจด้านแฟชั่นโดยเฉพาะอยู่แล้ว สิว่าดีเสียอีกค่ะที่ได้มีโอกาสเดินในโชว์ที่ใหญ่ขนาดนั้น มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องเกี่ยงเลย นางแบบอินเตอร์สัญชาติไทยสะท้อนความรู้สึกของตัวเองออกมา


อย่าคาดหวังกับหนูนักเลย!
กดดันไหมที่...? ยังไม่ทันจะขยายความคำถามให้จบประโยค ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็ให้คำตอบทันที ดูเหมือนว่าความอัดอั้นภายในใจของเธอจะมีคำตอบรออยู่ก่อนแล้ว ผู้สัมภาษณ์จึงปล่อยให้สิระบายมันออกมา... “กดดันค่ะ กดดันจนหนูไม่อยากกลับมาเมืองไทยแล้วเนี่ย (หัวเราะหึๆ) มันถึงจุดที่ทุกคนเจอหน้าเราแล้วพูดว่า “สิ พี่เชียร์สิอยู่นะ” หรือ “พี่ภูมิใจในตัวหนูมากเลย หนูคือความหวังของประเทศไทย” อันนี้เจอบ่อยมาก (ยิ้มเนือยๆ) อีกประโยคคือ “เมื่อ ไหร่จะกลับไปปารีสอีก” มีคนพูดสามประโยคนี้กับหนูทุกวันเลยค่ะ จนแอบรู้สึกไม่อยากไปแล้ว เพราะเวลาเราไปอยู่ตรงนั้นมันเหนื่อย มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ทุกคนพูดกับหนู เชียร์หนูให้หนูได้ แต่ด้วยความที่คุณแม่ก็สอน เพื่อนก็เตือนว่าถ้าไม่ขยันตอนนี้ แล้วโตขึ้นไปจะเอาอะไรให้ภูมิใจล่ะ สิก็เลยยังพยายามสู้อยู่ค่ะ เพื่อความภาคภูมิใจของตัวเราเอง”


นอกจากต้องแบกรับความกดดันของสังคมในฐานะความหวังและความภาคภูมิใจของประเทศ ยังมีอีกบทบาทหนึ่งที่สิหนักใจมาก คือการถูกใครคนใดคนหนึ่งยกย่องให้เป็นไอดอล เพราะเธอบอกว่า “ทุกอย่าง ที่ทำ หนูไม่ได้ทำเพื่อที่จะมาเป็นไอดอล แต่ทำเพื่อเป็นประสบการณ์ของตัวเอง ก็เลยไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสามารถเป็นไอดอลใครได้ พอมีข่าวมีกระแสว่าเรากลายเป็นไอดอลของนางแบบรุ่นน้องไปแล้ว ก็เลยแอบตกใจนิดหนึ่งค่ะ หนึ่งเลยคือยังถามตัวเองอยู่เลยว่า เฮ้ย! เราไปถึงจุดที่จะเป็นไอดอลให้ใครได้แล้วเหรอ สองคือถ้าคนที่ชื่นชอบเรา มาถามคำแนะนำจากเรา จะให้คำแนะนำเขายังไงดีวะ (หัวเราะ)

“ถ้าวันหนึ่งมีน้องเดินเข้ามาขอคำแนะนำ ถามว่าทำไมเอเยนซีต่างประเทศถึงได้เลือกเรา ถามว่าเรามีอะไรในตัว หรือถามว่าพี่สิขา พี่สิเป็นไอดอลของหนู หนูทำยังไงถึงจะเป็นได้แบบพี่สิ... (ทำหน้าหนักใจ ถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า) ไม่รู้จริงๆ

สิ่งที่เธอรู้ดีที่สุดในตอนนี้คือความรู้สึกของคนที่ได้รับการยอมรับให้ยืนอยู่บนเวทีระดับโลกอย่างสง่างาม “รู้สึกว่าตัวเองอยู่บนจุดที่สูงพอสมควรแล้วนะ สูงมากแล้วด้วย แต่ไม่รู้ว่าสูงสุดแล้วหรือเปล่า แต่รู้สึกพอใจมากๆ แล้วค่ะ ไม่รู้จะเรียกว่าประสบความสำเร็จได้แล้วหรือยัง แต่หนูอยากเรียกว่าเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆ ก็แล้วกันค่ะ สิแบ่งปันความรู้สึกให้ฟังด้วยแววตาเปี่ยมสุข
ถ้าวันหนึ่งถึงจุดอิ่มตัวในอาชีพเดินแบบ วางแผนไว้ว่าจะทำอะไรต่อไป? คำถามนี้ตั้งใจให้ผู้ตอบพูดถึงเรื่องอนาคต แต่ไม่คิดว่าอนาคตที่ว่าจะเดินทางมาเร็วขนาดนี้

“ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกอิ่มตัวแล้วนะ (หัวเราะแบบเนือยๆ)” ก่อนจะตีความผิดๆ ไปว่าเธอกำลังจะอำลาวงการนางแบบ สิจึงขยายความเพิ่มเติม “รู้สึก เบื่อที่ปารีสแล้ว แต่ยังไม่เบื่อการไปเมืองนอกค่ะ ตอนนี้กำลังดูๆ อยู่ว่าจะไปที่ไหนต่อ อาจจะเป็นนิวยอร์กหรือลอนดอนก็ได้ ไปเติมสีสันให้ชีวิต (ยิ้ม) อยากไปหลายๆ ประเทศจะได้เก็บได้หลายๆ แบรนด์ แล้วถ้าเป็นไปได้อยากถ่ายแมกกาซีนดังๆ อย่าง Vogue สักครั้งในชีวิตสิ ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นเพื่อให้ใครเชื่อ แต่ท่าทีของเธอดูสบายๆ คล้ายกับว่าจุดมุ่งหมายเหล่านั้นคือเป้าหมายที่ไม่ไกลเกินไขว่คว้า


มืออาชีพเขาเป็นกันแบบนี้
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเธอไม่มีคำแนะนำใดๆ ให้แก่คนที่อยากเจริญรอยตาม เพราะไม่รู้จะเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี ทีมงานจึงขอทำหน้าที่ถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ของเธอออกมาให้เป็นรูปธรรมที่สุด ถ้าเทียบกับเส้นทางสู่การเป็นนักร้องของเหล่านักล่าฝันแล้ว หลายคนคงคุ้นชินกับภาพการซ้อมร้องเพลง ซ้อมเต้นของผู้เข้าประกวด และรู้ว่าจะเป็นนักร้องที่ดีต้องรู้จักฝึกฝน แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า เส้นทางสู่การเป็นนางแบบมืออาชีพเป็นอย่างไร ถ้าตอบว่าต้องซ้อมเดินแบบและโพสท่าถ่ายรูปเพียงสองอย่างแล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณยังไม่รู้จักอาชีพนี้ดีพอ และในฐานะนางแบบระดับอินเตอร์ เธอพร้อมแล้วที่จะสาธยายให้ฟัง

คงไม่ต้องถึงขนาดฝึกเดินที่ บ้านหรอกค่ะ (ยิ้มขำๆ) แต่ส่วนใหญ่สิจะใช้การติดตามเทรนด์การแต่งตัวมากกว่า งานนางแบบไม่ใช่แค่ฝึกฝน แต่ต้องเริ่มมาจากความคิด ทัศนคติภายในเลย ในเมื่อเรามีหน้าที่อยู่ตรงนี้ ต้องทำงานจุดนี้ เราก็ต้องเรียนรู้ ต้องพยายามอัปเดตแฟชั่นเมืองนอกว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว เวลา ไปทำงานจะได้พูดคุยกับคนอื่นรู้เรื่อง แล้วทุกสิ่งที่เราพูดออกไปมันสะท้อนตัวตนของเราได้หมด ทำให้คนที่ทำงานด้วยกันรับรู้ได้ว่าเราเป็นแบบไหน ทำการบ้านมาบ้างหรือเปล่า ไม่ใช่จะมานั่งเชย จมปลักอยู่ที่บ้าน แล้วมีหน้าที่เดินอย่างเดียว ใครพูดเรื่องอะไรก็งงๆ เบลอๆ ต้องดูด้วยว่านางแบบเมืองนอกเขาเดิน กันยังไง เปิดดูเบื้องหลังบ้างให้รู้ว่านางแบบแต่ละคน ตัวจริงเขานิสัยยังไง ดูเพื่อสร้างความรู้รอบตัวให้ตัวเองค่ะ ที่สำคัญคือต้องรักษาหุ่น ห้ามอ้วนเด็ดขาด!”

ยัง... ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ย่อหน้าที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่คุณสมบัติเบื้องต้นของการเป็นนางแบบ แต่รายละเอียดในย่อหน้าต่อไปนี้ต่างหากคือเคล็ดลับข้อสำคัญที่จะช่วยสร้าง ความแตกต่างให้แก่สาวงามบนแคตวอล์กทุกคน อย่างที่สิใช้มันในการทำงานและทำให้เธอหยัดยืนอยู่บนรันเวย์ระดับโลกได้อย่างมีเอกลักษณ์

“เวลาถ่ายแบบ ส่วนใหญ่สิจะโพสท่าเอง และจะพยายามแชร์ไอเดียของเราออกไปเพื่อให้ภาพที่ออกมาดูมีเอกลักษณ์ มีความเป็นเราอยู่ในนั้น งานจะได้ไม่ซ้ำซากจำเจ ที่สำคัญคือต้องตั้งใจทำงานค่ะ สิจะพยายามหางานที่ยากขึ้น งานที่ท้าทายมากขึ้นไปเรื่อยๆ พอมีโอกาสดีๆ เข้ามาก็ต้องคว้าเอาไว้ แล้วใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่า ทำงานให้เต็มที่ สิจะชอบคิดว่าตัวเองเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง คือต้องพยายามทำตัวเองให้มีค่า ดูแลตัวเองให้ดูสวยงาม พอโปรดักต์ดูดี ลูกค้าก็อยากซื้อ เรื่อง นิสัยในการทำงานก็สำคัญค่ะ ทัศนคติดี คนอื่นก็อยากทำงานด้วย พอไม่ได้ร่วมงานกัน พี่ๆ ทีมงานก็จะคิดถึง จำได้ พอมีคนชื่นชม ก็จะมีคนสนับสนุนเรามากขึ้น ทำให้เรากลายเป็นโปรดักต์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก


ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่า “บ้านเรา”
“เมืองไทย”… คนต่างชาติอาจหมายถึงสยามเมืองยิ้ม แต่สำหรับนางแบบฝีมือระดับโลกอย่างสิ เธอให้ความหมายว่าคือบ้านเกิดเมืองนอน และเป็นสถานที่ซึ่งเรียกได้ว่า “เป็นที่ของเราจริงๆ ค่ะ” แม้ว่าเธอจะวาดอนาคตไว้ไกลสักเพียงใด แม้จะต้องท่องโลก โกอินเตอร์อีกสักกี่ประเทศ แต่ผืนแผ่นดินไทยคือจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดในชีวิต ถ้าถามว่าจะทำงานอยู่ที่ไหนเป็นหลัก สิสามารถตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าจะเลือกอะไร


“ประเทศไทยนี่แหละค่ะอบอุ่นที่สุดแล้ว ที่สำคัญคือสิเป็นคนติดครอบครัวมากๆ เพราะฉะนั้นเวลาไปอยู่เมืองนอกจะรู้สึกไม่สบายใจเลย ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงทางบ้านอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่จะคิดถึงมากกว่า สิเป็นคนติดบ้าน ติดการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ก็ เลยรู้สึกว่าถ้าไปอยู่ต่างประเทศแล้วไม่มีความสุข อย่าไปเลยดีกว่า แต่ถ้าไปอยู่ ไปทำงานเป็นช่วงๆ น่ะได้ค่ะ ใช้วิธีบินไปทำงานที่อยากทำแบบแป๊บๆ ดีกว่า

ที่ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ เป็นเพราะสิเคยผ่านช่วง เวลาแห่งความท้อแท้อยู่คนเดียวในต่างแดนมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยแรงสนับสนุนจากครอบครัว จึงทำให้เธอเข้าใจดีว่า “บ้าน” สำคัญต่อชีวิตเธอมากขนาดไหน

“มันเป็นช่วงที่เรารู้สึกเหนื่อย รู้สึกไม่สบายเหมือนเดิม งานเยอะมาก ต้องไปแคสติ้งเยอะๆ แล้วมันไม่ใช่ที่ของเราด้วยไงคะ อยู่เมืองไทยกับเมืองนอกมันต่างกันอยู่แล้ว อยู่เมืองเขาเราก็ลำบากกว่าอยู่แล้ว เวลาไปต่างประเทศสิจะไปคน เดียวทุกครั้ง ดูแลตัวเองทุกอย่าง ไม่มีผู้จัดการส่วนตัว เวลาท้อแท้จะหันไปพูดกับใครก็ไม่ได้ แต่ที่ผ่าน ช่วงดาวน์มากๆ มาได้ ส่วนหนึ่งเพราะได้คุยกับคุณแม่ทุกวันค่ะ ทำให้รู้สึกว่าปัญหามันไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เพราะยังมีคนคอยซัปพอร์ตเราอยู่

เมื่อตั้งใจจะกลับมาทำงานที่ประเทศไทยเป็นหลักแล้วก็ต้องทนรับความแตกต่างระหว่างเวทีนางแบบไทยกับนางแบบโลกให้ได้ สิบอกว่าเธอเข้าใจดี ทั้งเรื่องค่าตัวที่ต้องได้รับต่ำลงจากเดิม และเนื้องานที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

“ต้องยอมรับว่างานในวงการนางแบบบ้าน เราไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนว่า คนนี้จะต้องเป็นนางแบบ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เทียบกับเมืองนอก คนที่เป็นดาราจะไม่มาเป็นนางแบบนะ เพราะยังไงก็เดินสู้นางแบบบนรันเวย์ไม่ได้อยู่แล้ว เขาจะแบ่งแยกชัดเจนมาก แต่ ถ้าเรารักที่จะอยู่เมืองไทย ก็ต้องหาโอกาสที่ดี เปิดโอกาสให้ตัวเองได้รู้จักคนมากขึ้น เปิดรับงานอื่นที่จะช่วยเสริมให้งานนางแบบทำได้ดีขึ้น ตอนนี้สิเองก็กำลังตั้งใจเรียนแอ็กติ้ง เผื่อมีใครติดต่อมา เราก็อยากทำให้ได้ดีเหมือนที่เราทำงานนางแบบ ไม่ได้หวังดังถึงขั้นเป็นซูเปอร์สตาร์หรอกค่ะ แค่อยากเป็นนักแสดงที่ไม่มีใครด่าว่า ไอ้นี่! มันเล่นแข็งฉิบ แค่นั้นก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้ว

ส่วนอาชีพหลักเธอก็ไม่ทิ้งแน่นอน ความฝันโกอินเตอร์ในอีกหลายๆ ประเทศยังรอให้เธอสานต่อ อย่างที่เธอบอกกับเราว่า “ไม่ รู้จะหวังสูงเกินไปหรือเปล่า แต่คนเราก็ต้องฝันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เนอะ อยากจะเป็นนางแบบของเอเชียที่คนพูดถึงว่ากำลังมาแรงค่ะ แค่อยากให้คนจำได้ ซึ่งก็ต้องสู้กันต่อไป” ส่วนเรื่องที่มีคนจำนวนมากแสดงความห่วงใยเอาไว้ตามเว็บไซต์ กลัวว่าเธอจะหลงติดยา ซ้ำรอย “ยุ้ย รจนา เพชรกันหา” อดีตซูเปอร์โมเดลนั้น สิตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คิดดูว่าเรา ตั้งใจมานานแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มันลำบากนะ เพราะฉะนั้นสิจะไม่ทำลายตัวเองง่ายๆ แบบนั้นหรอกค่ะ หนูไม่ยอมเด็ดขาด!” ได้ยินแบบนี้ คนไทยทั้งประเทศเตรียมยิ้มแก้มปริ รอคอยแต่ข่าวดีๆ ที่เกิดจากเธอคนนี้ไว้ได้เลย



ความรักของผู้หญิงวาไรตี้
“ขี่ม้า, ยิงปืน, ต่อยมวย, เล่นเปียโน, ขิม และจะเข้” คือกิจกรรมทั้งหมดที่ระบุอยู่ในความสามารถของเธอ พิจารณาดูแล้วจะให้ตัดสินว่าเธอเป็นสาวห้าวก็พูดได้ไม่เต็มปาก หรือจะทึกทักเอาว่าเป็นสาวหวานก็ดูไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงเท่าใดนัก ถามว่าผู้หญิงที่ชื่อ “สิ พิชญ์สินี ตันวิบูลย์” เป็นอย่างไรกันแน่ คนที่รู้ดีที่สุดจึงตอบว่า “เป็น คนวาไรตี้สูงค่ะ ได้หมดทุกอารมณ์ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นอยากทำอะไร เป็นคนมีความสนใจหลายอย่าง แล้วก็ชอบทำหลายๆ อย่างด้วย มันทำให้รู้สึกว่าเราใช้เวลาคุ้มค่าดี” ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรต่อ สิก็ลงมือวิเคราะห์ตัวเองเพิ่มเติม

“คนชอบบอกว่าเวลาสิอยู่บนรันเวย์กับ ตัวจริงไม่เหมือนกัน บนรันเวย์จะนิ่งๆ หยิ่งๆ หน่อย ดูซีเรียสๆ อาจเพราะเราพยายามมีสมาธิกับการเดินของตัวเอง ต้องเพ่งสายตาไปที่กล้อง ส่งพลังออกไปให้ถึงด้วยมั้งคะ (หัวเราะ) แต่ชีวิตจริงจะเป็นคนสบายๆ คุยเก่ง สดใส มีเดินเหม่อบ้าง ไม่ได้เดินเก๊กเหมือนอยู่บนแคตวอล์กตลอดเวลา ถ้าอยู่กับเพื่อนจะออกแนวห้าวๆ ฮาๆ แต่พออยู่กับครอบครัวจะอ้อนๆ นิดๆ

แล้วเวลาอยู่กับแฟนล่ะ? ผู้สัมภาษณ์ยิงคำถามทันทีเมื่อสบโอกาส สิตั้งรับอย่างรู้ทันก่อนให้คำตอบว่า “คงอ้อนๆ หน่อยมั้งคะ แต่ไม่เป็นแม่ศรีเรือนนะ ไม่ทำกับข้าว (หัวเราะ)” พอพูดถึงเรื่องความรัก ชื่อ “เอ อัคชิน วงศาลัคนากร” มือกลองวงแบล็ควานิลลาซึ่งมีข่าวว่าคบหาดูใจกับสิอยู่ก็ผุดขึ้นมา เมื่อถามถึงระดับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จึงได้ทราบว่าตกข่าวไปมากจริงๆ

กับพี่เอคบกันได้ประมาณ 2 ปี แต่ตอนนี้เลิกกันแล้วค่ะ จะกลับมารีเทิร์นไหม... ไม่รู้ค่ะ แค่รู้สึกดีที่ได้กลับมาเป็นเพื่อนกัน เพราะ space ของความเป็นเพื่อนจะมีมากกว่าแฟน แล้วพี่เอเขาก็เป็นพี่ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี ให้คำปรึกษาได้ตลอด แต่ที่เลิกกันเพราะคบกันไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกว่าเขาเหมาะจะเป็นพี่ชายของเรามากกว่า มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบคนรัก แต่เรายังหวังดีต่อกันอยู่เหมือนเดิมค่ะ ส่วน ตอนนี้สิยังอยากพุ่งความตั้งใจไปที่งานก่อน ไม่ใช่ว่าเข็ดเรื่องความรักนะ แต่รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขกับการได้ตั้งใจทำงาน ซึ่งคนที่จะเข้ามาก็ต้องเข้าใจนะว่าเรากำลังมีความสุขกับตรงนี้ สิไม่ลืมประกาศจุดยืนให้แฟนในอนาคตของเธอฟังเอาไว้

หนุ่มๆ ทั้งหลายอย่าเพิ่งกลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะบ้างานจนไม่มีเวลาเหลือให้แฟน เพราะสิยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่า “เป็นคนค่อนข้างหาบาลานซ์ของชีวิตเจอค่ะ สิยังเอ็นจอยกับชีวิตอยู่ ยังเที่ยวเล่นกินข้าวกับเพื่อนๆ ยังมีเวลาอยู่กับครอบครัวได้ เป็น คนให้ความสำคัญกับการลิมิตเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมากๆ ถ้าช่วงไหนงานหนักๆ อย่างตอนแฟชั่นวีกไม่ได้พักเลย ทำงานทั้งวันทั้งคืนเป็นอาทิตย์เลยก็มี แต่พอมีโอกาสหยุด มีช่วงหยุดยาว จะพยายามใช้เวลากับคนใกล้ตัวให้มากที่สุดค่ะ เธอตบท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มเรียบๆ

“หนุ่มเอเชีย มีเสน่ห์ มีสไตล์ ไม่ถึงขั้นเมโทรฯ แต่ดูแลตัวเองนิดหนึ่ง แล้วก็ขอให้โตกว่าเราทั้งอายุและความคิด มีความเป็นผู้ใหญ่ ให้คำปรึกษาได้” ชายใดมีคุณสมบัติตามที่สิวาดฝันเอาไว้ หาโอกาสเข้าไปรายงานตัวกับเจ้าของสเปกด่วน!



ความสุขบนหลังม้า
ด้วยความที่เป็นคนทำอะไรทำจริงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้กระทั่งงานอดิเรกอย่างกีฬาขี่ม้า สิยังฝึกฝนอย่างจริงจังจนถึงระดับลงแข่งมาแล้ว โดยเฉพาะช่วงมัธยมฯ เป็นช่วงที่เล่นเก่งที่สุดและบาดเจ็บบ่อยที่สุด ซึ่งแต่ละครั้งรุนแรงทั้งนั้น แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่กระทบกระเทือนถึงขั้นกระดูกหัก มีแค่เพียงรอยขีดข่วนและอาการเคล็ดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถ้าอยากรู้ว่าเธอดวงแข็งขนาดไหน ลองไปฟังเหตุการณ์เสียวๆ จากประสบการณ์ตรงดู

“เริ่มหัดขี่ม้าตั้งแต่อายุ 14-15 แล้วค่ะ ชอบความสง่าของม้า เราเองก็เพลินกับการได้ใช้ชีวิตอยู่ในคอกม้า เลิกเรียนปุ๊บจะกลับมาขี่ม้าทุกวันตอน 5-6 โมงเย็น วันเสาร์-อาทิตย์ก็มา พยายาม ดันตัวเองขึ้นไปจนได้เป็นถึงระดับนักกีฬา เคยลงแข่งด้วย แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ได้ทำงาน เราก็เริ่มเบนเข็ม อีกอย่างเพราะสิเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงด้วย เลยทำให้แอบรู้สึกหวาดๆ อยู่เหมือนกัน

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซ้อมอยู่แล้วม้าวิ่งเร็วมากจนเหวี่ยงสิตกไปนอกสนามเลย ตอนแข่งก็เคยมี ถูกม้าเหวี่ยงไปโดนเครื่องกีดขวางพังหมดเลย ส่วนเราก็บาดเจ็บ มีแผลแต่ไม่เคยถึงขั้นกระดูกหัก แล้วก็มีอีกครั้งหนึ่ง กำลังจะควบ ม้าข้ามเครื่องกีดขวาง จู่ๆ ม้ามันก็เบรกกะทันหันอยู่ข้างหน้า ไม่ยอมกระโดดข้าม แล้วด้วยแรงเฉื่อยหรืออะไรไม่รู้ ตัวเราก็เลยกระเด็นลอยไปข้างหน้าแล้วหล่นลงปักกับพื้น หลังเดาะ เส้นพลิกเลยค่ะ ก็เลยแอบกลัวนิดๆ แต่ก็ยังขี่ได้เรื่อยๆ

สงสัยว่าถ้าตอนนั้นเธอยังไม่เข็ดจากกีฬาขี่ม้า คงไม่มีซูเปอร์โมเดลไทยที่ไปได้ไกลถึงปารีสอย่างทุกวันนี้



ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : สิ พิชญ์สินี ตันวิบูลย์
อายุ : 24 ปี
ส่วนสูง : 179 ซม.
น้ำหนัก : 53 กก.
การศึกษา : บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาประศาสนศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความสามารถ : ขี่ม้า, ยิงปืน, ต่อยมวย, เล่นเปียโน, ขิม และจะเข้
ผลงานเด่นๆ : Paris Fashion Week Spring 2010, Summer 2011 และ Winter 2011
รางวัลที่ได้รับ : Thai Super Model ปี 2006

ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน

Thursday 5 May 2011

Photography: London in 50 Pictures

Photography: London in 50 Pictures

2011 Logo Trends | StockLogos.com

2011 Logo Trends | StockLogos.com

Big Logo Showcase - 100 Inspiring Examples | Top Design Magazine - Web Design and Digital Content

Big Logo Showcase - 100 Inspiring Examples | Top Design Magazine - Web Design and Digital Content

Wearcase

เวบนี้น่าสนใจ

Wearcase
RT @: www.wearcase.com ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ 1) เป็นศูนย์รวมเสื้อยืดที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร 2) เป็นกลุ่มสังคมสนับสนุนวงการกราฟฟิก

How A Chanel Bag Is Made - PurseBlog

How A Chanel Bag Is Made - PurseBlog

How A Chanel Bag Is Made

Posted on May 3, 2011 by Megs Mahoney Dusil

Chanel is synonymous with timelessness. The brand’s coveted 2.55 bag (which is in fact its “date of birth”, February, 1955) continues to gain popularity for its classic design and longevity. Many people’s handbag collections have sprinklings of Chanel accessories from decades ago that never seem to age.

Mademoiselle Chanel designed her accessories to be both practical and sensible. To her, the accessories signified true emblem of luxury and elegance. This remains true to this day with Karl Lagerfeld at the helm of the brand.


When Coco Chanel began to design the classic bag, she strove for functionality. For this reason, the bag showcases a double flap with has a zip-fastened pocket inside it, intended as a secret place for storing a love letter or blank notes. On the inside of the bag there are three bellow pockets, also meant to store a lady’s necessities like lipstick.

Coco also insisted that the bag had to have body, which is why we see the quilted diamond shaped pattern that adds volume to the shape. The garnet colored lining matches the color of the uniform she wore in the orphanage, while the double C is stitched like a coat of arms. The iconic rectangular clasp that is gilted with gold, the famous leather and chain shoulder strap had never been seen on a handbag before Coco Chanel added them.

If you are in the Beverly Hills area, make sure to stop by the 400 North Rodeo Drive Boutique on Saturday, May 7 from 10-6 and Sunday, May 8 from 12-5 for the Secrets of the Handbag event.